ไทยโดนภาษีสหรัฐฯ 19% นักวิชาการชี้ดีใจได้ แต่ยังมีข้อกังวลเพียบ
ดร. นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส TDRI เปิดเผยในรายการฐานทอล์ค ช่องเนชั่นทีวี22 ถึงประเด็นร้อน หลังสหรัฐอเมริกาปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเหลือ 19% จากเดิมที่ถูกตั้งไว้สูงสุดถึง 36% ว่าเป็นข่าวดีข่าวเดียว ซึ่งถือว่าอยู่ใกล้เคียงกันกับประเทศคู่แข่งของไทย แต่ต้องไม่ลืมว่าไทยเคยได้รับสิทธิ์ ไม่เสียภาษี (0%) ในหลายหมวดสินค้า การกระโดดขึ้นมาที่ 19% จึงเป็นการเพิ่มที่สูงมากดังนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย
ดังนั้นการที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีตอบโต้ที่ 19%จึงถือเป็นข่าวร้ายแรก ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกแน่นอน แม้ว่าจะใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านเราก็ตาม
ดร.นณริฎ ระบุว่า อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือสิ่งที่ไทยต้องแลกเพื่อให้ได้อัตราภาษี 19% เนื่องจากมีรายงานว่าไทยอาจต้องเปิดตลาดในบางอุตสาหกรรมให้สหรัฐ รวมถึงข้อผูกพันต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ชัดเจนว่ามีทั้งหมดกี่ข้อ แต่คาดว่าประเด็นสำคัญคือการเปิดตลาดสินค้าและบริการ ตลอดจนมาตรการที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสินค้า ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือการแข่งขัน
Transhipment ต่างจาก สินค้าสวมสิทธิ์
ขณะเดียวกัน ยังมีประเด็น Transhipment กับสินค้าสวมสิทธิ์ ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดย Transhipment คือกระบวนการที่สินค้านำเข้าจากประเทศหนึ่งมาพักในไทย ก่อนจะส่งต่อไปยังประเทศที่สาม โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพสินค้า สำหรับประเทศไทย สัดส่วนของสินค้าที่ผ่านกระบวนการนี้ค่อนข้างน้อย อยู่ที่ราว 1% ดังนั้น แม้จะมีการเก็บภาษี 40% บนสินค้าประเภทนี้ ผลกระทบจึงไม่ได้มากนัก
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริง ๆ คือ สินค้าสวมสิทธิ์ ซึ่งแม้จะดูคล้ายกับ transhipment แต่ไม่เหมือนกัน จุดนี้สำคัญเพราะเป็นช่องทางที่มีการ สวมสิทธิ์เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากบางประเทศ เช่น จีน เราจะพบความผิดปกติในสถิติการค้า คือ การส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น พร้อมกับการนำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นในลักษณะสอดคล้องกัน
ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการนำสินค้าจากจีนเข้ามาในไทย แล้วส่งต่อไปสหรัฐฯ ในฐานะสินค้าสัญชาติไทย เพื่อเลี่ยงภาษีมาตรการตอบโต้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ transhipment แต่เป็นการสวมสิทธิ์โดยตรง
ซึ่งในแง่นี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับกลไกการตรวจสอบให้เข้มงวดและโปร่งใสมากขึ้น เช่น การเพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวัง , สร้างระบบตรวจสอบที่ให้ความเชื่อมั่นได้ ควรทำงานร่วมกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดในลักษณะรายกรณี (Case-by-Case) และรายหมวดสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
โจทย์ใหญ่ ไทยต้องลดเกินดุลสหรัฐฯ ลง70% ใน5ปี
อีกประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นคือ เงื่อนไขของข้อตกลง reciprocal tariff ที่เราลดลงมาเหลือ 19% ซึ่งฟังดูเหมือนเป็นข่าวดี แต่ความท้าทายใหญ่คือข้อกำหนดที่ว่า ไทยต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลงถึง 70% ภายใน 3-5 ปี ซึ่งเท่าที่เข้าใจน่าจะเป็น 5 ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าหนักมาก เพราะปัจจุบันไทยเกินดุลในระดับ “หลักล้านล้านบาท”
การลดลง 70% ภายในเวลาสั้น ๆ หมายความว่าอะไร?
- ไทยต้องส่งออกน้อยลงอย่างมหาศาล
- ต้องเพิ่มการนำเข้าในสัดส่วนที่มากขึ้น
- หรือ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง
ผลลัพธ์คือรายได้ของผู้ส่งออกไทยจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน หากไม่มีการปรับตัวทันที อุตสาหกรรมไทยจะเผชิญแรงกดดันรุนแรง เพราะเมื่อยอดขายเริ่มลดลงแบบต่อเนื่อง การรักษากำไรหรือแม้แต่การอยู่รอดจะยากมาก
ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำโดยเร่งด่วนคือการ วางกลยุทธ์รองรับผลกระทบนี้ ซึ่งควรประกอบด้วย
- หาตลาดใหม่ (แม้จะเป็นสิ่งที่ทุกประเทศกำลังทำเหมือนกัน)
- ลดต้นทุนการผลิต อย่างเป็นระบบ
- เร่งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับกระบวนการผลิต
- ผลักดันการ Transformation อุตสาหกรรมแบบเร่งด่วน โดยมีภาครัฐเข้ามาช่วยในเชิงนโยบายและเงินสนับสนุน
หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนี้ ผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงรวดเร็วอาจทำให้หลายอุตสาหกรรมมีปัญหาในระดับโครงสร้าง