ทองคำไปต่อหรือไม่! ท่ามกลางความเสี่ยง “การเมือง-เศรษฐกิจโลก”
"ทองคำ" จัดเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปลอดภัย และได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นแหล่งสะสมความมั่งคั่ง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ราคาทองคำมักจะทุบสถิตินิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-ก.ค.) ราคาทองคำ Gold spot ปรับขึ้นมาแล้ว 700 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26% ด้านทองแท่งในประเทศก็ขึ้นมา 8,600 บาท
ส่วนทิศทางทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นอย่างไรจะไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน และมีปัจจัยอะไรที่ต้องติดตามบ้าง TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก “วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ประเมินว่า ราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนแม้ว่าช่วงนี้จะปรับตัวลดลงจากสถานการณ์สงครามทางการค้าคลี่คลาย หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่ได้จัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกสูง ตามที่ประกาศไว้ในช่วงเดือนเม.ย.ก่อนหน้าและส่งผลดีต่อสหรัฐฯ ในระยะสั้น แต่ระยะกลางและระยะยาวจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะการเอาเปรียบของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ลดการทำค้าขายกับสหรัฐฯ และหันไปค้าขายกับประเทศอื่นแทน และในอนาคตอาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่ ทำให้นักลงทุนหันมาเพิ่มการถือครองทองคำ แทนการถือครองดอลลาร์ และพันธบัตรของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ภาพความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ระยะสั้นคลี่คลาย แต่ไม่ 100% รวมถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน สงครามในตะวันออกกลางไม่รู้ว่าจะปะทุขึ้นเมื่อไหร่ ขณะเดียวกันธนาคารกลางในหลายประเทศยังมีการซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ
จากข้อมูลของสภาทองคำโลก (World Gold Council) ณ 30 พ.ค.ที่ผ่านมาพบว่า คาซัสสถานซื้อทองคำเพิ่ม 7 ตัน ถือครองทองคำเป็นทุนสำรอง 299 ตัน นับจากต้นปี ขณะที่ตุรกี ซื้อทองคำเพิ่ม 6ตัน ถือครองทองคำ 15 ตัน โปแลนด์ซื้อทองคำเพิ่ม 6 ตัน ถือครองทองคำ 67 ตัน ส่วนจีน และเช็ก ซื้อทองคำเพิ่ม 2 ตัน และบางประเทศซื้อเพิ่ม 1 ตัน เช่น กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
โดย 10 ประเทศที่มีทองคำเป็นทุนสำรองมากสุดมีดังนี้
อันดับที่ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกา มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 8,133.50 ตัน
อันดับที่ 2 เยอรมนี มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 3,350.25 ตัน
อันดับที่ 3 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 2814.04 ตัน
อันดับที่ 4 อิตาลี มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 2451.83 ตัน
อันดับที่ 5 ฝรั่งเศส มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 2,437 ตัน
อันดับที่ 6 รัสเซีย มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 2,329.63 ตัน
อันดับที่ 7 จีน มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 2,296.35 ตัน
อันดับที่ 8 สวิตเซอร์แลนด์ มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 1,039.93 ตัน
อันดับที่ 9 อินเดีย มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 879.58 ตัน
อันดับที่ 10 ญี่ปุ่น มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 846 ตัน
ขณะที่ไทยอยู่อันดับที่ 24 ของโลก มีปริมาณการสำรองทองคำอยู่ที่ 234.51 ตัน
สำหรับแนวโน้มทองคำในช่วงเดือนส.ค.นี้ คาดว่า แกว่งไซด์เวย์อัพ เพราะหลังจากที่ทองคำย่อตัวลงมาก็มีแรงซื้อกลับทำให้ราคาทองคำไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ โดยในเดือนมิ.ย. และก.ค. ราคาทองคำ Gold spot ทำราคาต่ำสุดที่ระดับ 3,248-3,283 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ทองแท่งราคาอยู่ที่ 50,000-50,500 บาท
ซึ่งถ้าราคาอ่อนตัวลงไม่หลุดโซนแนวรับให้เข้าซื้อหรือเข้าทยอยเก็บสะสม ขณะที่แนวต้านแรกอยู่ที่ 3,451 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และแนวต้านถัดไปที่ 3,483 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ค. ถ้าขยับไม่ผ่านให้ทยอยแบ่งขายลดความเสี่ยง
ราคาทองคำในประเทศทำ ALL TIME HIGH แตะระดับ 54,800 บาท ราคา Gold spot แตะที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากค่าเงินบาทอ่อนค่า และเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ส่วนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมาตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5% คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผลตอบแทนจากการถือครองสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดดอกเบี้ย เช่น เงินฝากหรือพันธบัตรจะลดลง ทำให้ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุน
ฝั่ง “วรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที โกลด์บูลเลี่ยน จำกัด มองว่า ราคาทองคำในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวลง จากเดิมทองแท่งเคยทำนิวไฮที่ระดับ 54,800 บาท ราคา Gold spot แตะที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ปัจจุบันราคาทองแท่งอยู่ที่ 51,000 บาท ราคา Gold spot แตะที่ 3,331ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากสงครามทางการค้าคลี่คลาย หลังจากที่สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าต่ำกว่าที่ประกาศไว้ เช่น ญี่ปุ่นจากเดิม 25% เหลือ 15% อียูจากเดิม 30% เหลือ 15% และไทย จากเดิม 36% เหลือ 19% ทำให้ราคาทองช่วงต้นปีจากที่เคยขึ้นไปที่ 26% จากระดับราคา 42,000 บาท ไปสูงสุด 54,800 บาท จากนั้นค่อย ๆ ปรับตัวลดลง
แม้ว่าราคาทองคำปรับตัวลง แต่เชื่อว่าไม่ได้ร่วงลงลึก เพราะปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกก็ยังเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศปีละ 1,000 ตัน ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว และปีหน้าตลาดคาดว่านายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลง 4 ครั้ง จากปีนี้ 2 ครั้งช่วงปลายปี เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายแตะที่ระดับ 2% จากปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.25-4.50%
นอกจากนี้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอิหร่านกับอิสราเอลยังต้องเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดอาจจะมีการปะทุขึ้นมาอีกได้ ซึ่งการถือครองดอลลาร์ไม่ใช่ทางออกเดียวที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยภายใต้สถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน
โดยปีหน้าประเมินว่าทองคำยังไปได้ต่อ ถ้าเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ มีปัญหาทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในการลงทุน ส่วนในปลายปีนี้ประเมินว่าราคาทองอาจจะทำนิวไฮอีกครั้งปลายปี แตะที่ระดับ 3,500-3,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอาจจะอยู่ที่ 53,000-54,000 บาท จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก ส่วน ปีหน้าถ้าสหรัฐฯลดดอกเบี้ยตาดคาดราคาทองแท่งมีโอกาสแตะระดับ 54,000-56,000 บาท
จากปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ตรงหน้า ทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ทองคำยังมีแรงหนุน และมีโอกาสที่จะเดินหน้าต่อไปได้ แต่ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และการปรับฐานหลังราคาวิ่งขึ้นมาต่อเนื่อง ก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงเป็นวินัยการลงทุนที่ยังต้องยึดไว้เสมอ….
ข่าวที่เกี่ยวข้อง