เจาะอินไซต์ "ท่องเที่ยวติดแกลม" โอกาสใหม่ การท่องเที่ยวไทย
เรื่อง : พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย กำลังเผชิญความท้าทายจากหลาย ๆ ด้าน ทั้งประเด็นความปลอดภัย และความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม สะท้อนได้จากข้อมูลของสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (PATA) ที่ระบุว่าทั้งในภาพรวมและตลาดหลาย ๆ ประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้ามีแนวโน้มเติบโตขึ้น สวนทางกับประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตลดลง
นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals : HNWI) และกลุ่มชนชั้นกลาง เป็นหนึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังถูกจับตามอง เพราะกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากเดิมไปอีกขั้น และนำไปสู่โอกาสของการท่องเที่ยวแบบติดแกลม หรือการท่องเที่ยวแบบลักเซอรี่
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสร่วมเยี่ยมชมกาแล็กซี รีสอร์ต มาเก๊า (Galaxy Resorts Macau) 1 ใน 6 รีสอร์ตครบวงจร (Integrated Resort) ในเขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และถือโอกาสนี้ร่วมพูดคุยกับ “เควิน เคลย์ตัน (Kevin Clayton)” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์กาแล็กซี รีสอร์ต ประเทศไทย อีกครั้ง เพื่อมองถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทั้งโจทย์ที่ต้องแก้ปัญหา และกลุ่มนักท่องเที่ยว “มั่งคั่งสูง” ที่เป็นโอกาสใหม่ของการท่องเที่ยวไทย
ภาพรวมการท่องเที่ยว “เอเชีย-แปซิฟิก”
ก่อนจะมองถึงโอกาสและโจทย์ต่าง ๆ สำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทย อยากชวนผู้อ่านเข้าใจสถิติในภาคการท่องเที่ยวของพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิกที่เกิดขึ้น
ข้อมูลเมื่อปี 2024 ระบุว่า ญี่ปุ่น มาเลเซีย จีน ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ มีรายได้การท่องเที่ยวจากต่างประเทศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ขณะที่สิงคโปร์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพถึง 16.5 ล้านคน ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 500 ดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านการพนันในรีสอร์ตแบบครบวงจร)
มีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมการพนัน) จะมีมูลค่าสูงถึง 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นสู่ 298,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2035
ขณะเดียวกัน รายงานจาก Mastercard ยังระบุว่า 6 ใน 10 อันดับแรกของจุดหมายปลายทางเมืองระดับโลกปี 2024 ล้วนอยู่ในเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ โตเกียว โอซากา เซี่ยงไฮ้ โซล ปักกิ่ง และสิงคโปร์ และภายในปี 2027 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังเอเชีย-แปซิฟิกจะสูงถึง 801 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากประมาณ 692 ล้านคนในปี 2025
ขณะที่ประเทศไทย สถิตินักท่องเที่ยวช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา มีจำนวนอยู่ที่ 19,295,838 คน ในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวจากพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก 13,053,502 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 15,111,488 คน
ทั้งนี้ ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีข้อมูลว่า นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาประเทศไทยอยู่ที่ 16.6 ล้านคน ซึ่งลดลง 4.6% จากปีก่อนหน้า ส่วนตัวเลขคาดการณ์นักท่องเที่ยวปี 2568 ตามข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน
“มั่งคั่งสูง-ชนชั้นกลาง” โอกาสใหม่ ภาคการท่องเที่ยว
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวมั่งคั่งสูงและกลุ่มชนชั้นกลาง เป็นโอกาสใหม่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
รายงานล่าสุด ชี้ชัดว่า 72% ของนักท่องเที่ยวกลุ่ม HNWI มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวแบบลักเซอรี่ในปี 2025 โดยเน้นการเดินทางระยะสั้น แต่มีความถี่สูงขึ้น และจุดหมายปลายทางหลักยังคงเป็นเอเชีย-แปซิฟิก
นอกจากนี้ มีข้อมูลว่าการขยายตัวของชนชั้นกลางชาวจีนยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กระตุ้นการบริโภคสินค้าหรูหราในต่างประเทศถึง 47% และ 68% ของคนกลุ่มนี้มีแผนเดินทางเยือนจุดหมายปลายทางในเอเชีย-แปซิฟิกเช่นกัน
นักท่องเที่ยวเลือกประสบการณ์ Personalized มากขึ้น
นักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันมักค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางด้วยตนเอง แสวงหาประสบการณ์และแรงบันดาลใจผ่านช่องทางดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวในเมือง พักผ่อนชายทะเล สำรวจธรรมชาติ หรือล่องเรือ โดยอาศัยเว็บไซต์เป็นทางการของจุดหมายปลายทางเป็นหลัก และที่น่าสนใจคือ 20% ของนักเดินทางหันมาใช้ AI เพื่อช่วยวางแผนการเดินทาง
เมื่อนักเดินทางสร้างแผนการเดินทางของตนเอง และต้องการประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร โดยผสมผสานกิจกรรมหลากหลายในการเดินทางครั้งเดียว อาทิ ที่พักหรูหรา การพักผ่อนหย่อนใจ ความบันเทิง และทัวร์ส่วนตัวที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความพอใจ
หน่วยงานการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศจึงต้องมีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ พร้อมลงทุนอย่างตรงจุด เพื่อให้ประเทศสามารถเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่มมั่งคั่งสูง ถือเป็นกลุ่มหลักที่ทำให้เกิดการท่องเที่ยวแบบลักเซอรี่ และมีความต้องการที่จะสร้างเส้นทางการเดินทางของลูกค้าเอง (Customer Journey) โดยมีข้อพิจารณา 2 กลุ่มหลัก ๆ ทั้งการพิจารณาจากสิ่งที่อยู่บนโลกดิจิทัล ทั้งการบอกเล่าเรื่องความปลอดภัยในประเทศนั้น ๆ ความสะดวกในการเดินทาง-จองที่พักและกิจกรรมต่าง ๆ จนถึงการมีเรื่องราวน่าสนใจ หรือกิจกรรมที่น่าดึงดูดใจ
อีกส่วนหนึ่งคือ การสัมผัสประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยว ทั้งกิจกรรมน่าสนใจ คุณภาพในการดูแลและการบริการต่าง ๆ ที่เหนือระดับและมีเอกลักษณ์ มีการวางแผนการท่องเที่ยวที่พิเศษและเฉพาะตัว และนักท่องเที่ยวต้องรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่ใช้จ่ายไป
“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” โอกาสสร้างท่องเที่ยวติดแกลม
การเกิดขึ้นของกลุ่มการท่องเที่ยวแบบลักเซอรี่ ทำให้เกิดการท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ขึ้นมา หนึ่งในนั้นคือ “รีสอร์ตแบบครบวงจร” (Integrated Resort or Entertainment Complex) หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่หลาย ๆ คนได้ยินในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดรับกับนักท่องเที่ยวกลุ่มมั่งคั่งสูงและกลุ่มชนชั้นกลาง ที่เป็นโอกาสใหม่ของภาคการท่องเที่ยว
โดยเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สูงสุดในเอเชีย-แปซิฟิก โดยสถานที่ดังกล่าวไม่ได้มีแค่ “กาสิโน” ที่หลาย ๆ คนอาจจะได้ยินหรือได้เห็น แต่พื้นที่ดังกล่าวยังมีที่พักระดับหรู โชว์และการแสดง สถานที่ช็อปปิ้ง สปาเพื่อสุขภาพ พื้นที่ศูนย์การประชุมสำหรับกิจกรรม MICE และพื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรม
สำหรับมาเก๊า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการสร้าง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” เมื่อปี 2024 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 35 ล้านคน โดย 46% มีการพักเฉลี่ย 2.3 วัน มีรายได้จากกาสิโนรวมกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่จากกาสิโน 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เควินยังเล่าเพิ่มเติมว่า Galaxy Resorts Macau มีผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกกว่า 22 ล้านครั้งต่อปี สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจมาเก๊า 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ มาเก๊ามีการกำหนดให้เก็บภาษีจากธุรกิจดังกล่าว ในอัตรา 35% โดยจัดเก็บเป็นการส่งเงิน 30% และส่วนที่เหลือ 5% เป็นการสร้างพื้นที่สาธารณประโยชน์ในมาเก๊า
อย่างไรก็ดี ผู้บริหารฝ่ายแบรนด์ กาแล็กซี่ รีสอร์ต ประเทศไทย ยังให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตการลงทุนในประเทศไทย หลังรัฐบาลตัดสินใจถอยการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยเปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้ศึกษาตลาดประเทศไทยมากมาย รวมทั้งยังมองเห็นโอกาสการลงทุนในประเทศไทย และอยากให้ประเทศไทยมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ในการลงทุนนี้
มองโจทย์เปลี่ยนท่องเที่ยวไทย
ในช่วงหลายเดือนมานี้ ภาคการท่องเที่ยวไทย เผชิญกับการปรับตัวลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งมาจากปัญหาความกังวลของนักท่องเที่ยวด้านความปลอดภัย ทั้งจากสถานการณ์ชายแดน การหลอกลวงทางโทรศัพท์ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคม
เควินมองว่า แคมเปญ “Amazing Thailand” ซึ่งเป็นแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ควรได้รับการพัฒนาให้สอดรับการการท่องเที่ยวลักเซอรี่และการท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิง
โดยภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน เพื่อเร่งส่งเสริมการรวมพลังกันของภาคธุรกิจต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยวหรูหราในแบบไทย รีสอร์ตหรูในภูเก็ต เมืองทางประวัติศาสตร์ โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ แหล่งช็อปปิ้ง ภัตตาคารร้านอาหาร รวมถึงทัวร์ส่วนตัว
ขณะเดียวกัน ควรสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย เสริมสร้างประสบการณ์ทางวัฒนธรรม ความสนุกสนานบันเทิงของไทย และการจัดอีเวนต์หรือเหตุการณ์สำคัญให้มากขึ้น
เควินยังเสริมอีกว่า การพัฒนาแอปพลิเคชั่นการท่องเที่ยว เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และผลิตภัณฑ์ AI ที่ดี จะช่วยให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สร้างแรงบันดาลใจ โดยควรมีเนื้อหาที่เป็นการสื่อสารสองทาง และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยควรดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การท่องเที่ยว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เจาะอินไซต์ “ท่องเที่ยวติดแกลม” โอกาสใหม่ การท่องเที่ยวไทย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net