หมอยืนยัน "เอดส์" รู้เร็วรักษาได้ ไทยมียาต้าน HIV ประสิทธิภาพสูง
วันนี้ (19 ส.ค.2568) กรมควบคุมโรค ร่วมกับสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายที่ดูแลผู้ติดเชื้อ HIV แถลงเกี่ยวกับระบบการจัดการและดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์
พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องเอดส์เกิดขึ้นในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2524 และมีเคสแรกในประเทศไทยในปี 2527 ซึ่งหลังจากนั้นมีการระบาดอย่างรุนแรงในช่วง 7-8 ปีแรก ซึ่งปีที่มีปัญหามากที่สุดคือปี 2544 โดยในปีนั้นมีคนเสียเสียชีวิตกว่า 65,000 คน หรือคิดเป็น 8 นาทีจะมีผู้เสียชีวิต 1 คน ดังนั้นในช่วง 44 ปีที่มีการดูแลเรื่องนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นใน 3 ประเด็น ดังนี้
ความจริงที่ต้องรู้คือ ไทยมีโครงการยาต้านเอดส์แห่งชาติเต็มรูปแบบในปี 2548 และตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป ประเทศไทยดูแลคนไข้เอดส์ได้ฟรีทุกระบบประกันสุขภาพ คนไข้ไม่จำเป็นต้องไปนอนที่ไหนให้เสียเงิน อีกทั้งยาต้านเอดส์ยังสามารถแจกได้ฟรี มีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมาก สามารถกดไวรัสจนทำให้วัดไม่ได้ในกระแสเลือด ซึ่งการวัดไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากกินยาต้านไปได้ 3 เดือนและคนไข้มีอาการดีขึ้น เป็นปกติทุกอย่าง และคนที่กินยาต้านไว้รัส 3 เดือนจะไม่แพร่เชื้อให้ใคร เพราะฉะนั้นจึงสามารถมีครอบครัวและมีบุตรได้
แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะมียาต้านที่กินป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้และแจกฟรี แต่น้อยกว่า 20% ของคนที่ต้องการจะไปรับยาอาจไม่อยากแสดงตัวหรือเพราะเหตุผลใดก็ตาม เพราะฉะนั้นโจทย์ของประเทศไทยคือ เคสใหม่ที่มีปีละกว่า 9,000 คน ซึ่งตั้งเป้าไว้เหลือปีละ 1,000 คน ส่วนเคสที่เสียชีวิตปีละกว่า 10,000 คน ซึ่งคนที่รักษาเอดส์ทุกคนรู้ว่าหากรักษาเต็มที่จะไม่มีเสียชีวิต เพราะยามีประสิทธิภาพดีมาก
พญ.จุรีรัตน์ กล่าวอีกว่า คนมักพูดถึงภาพของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแบบแย่ๆ จึงอยากให้ลบภาพนั้น เพราะคนไข้เอดส์มีความสดใส มีสภาพเป็นปกติ นอกจากนี้ไม่ต้องการให้นำโรคเอดส์ไปเป็นเครื่องมือหากินในเชิงธุรกิจ
หากใครมาพูดว่า 'เอดส์เต็มขั้นระยะสุดท้าย' ยันยันว่าไม่มี เพราะเอดส์รักษาได้
ทั้งนี้ งบประมาณในการรักษาเอดส์ที่ สปสช.ใช้อยู่ งบรักษาปีละ 3,519 ล้านบาทในปี 2568 และงบป้องกัน 619 ล้านบาท ยืนยันว่าทำได้และไม่ได้เป็นปัญหา แต่สิ่งที่ขาดคือทัศนคติของสังคมว่าพร้อมหรือไม่ที่จะก้าวไปด้วยกัน โดยสื่อว่าเอดส์สามารถรักษาและดูแลได้
วางแผนยุติเอดส์ ตั้งเป้าผู้ติดเชื้อรายใหม่ไม่ถึง 1,000 คน/ปี
ขณะที่ นพ.พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผอ.กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยเอดส์ลดลงเหลือประมาณปีละ 8,000 คน โดยมียาที่สามารถกดเชื้อไว้รัสไม่ให้แพร่เชื้อได้และไม่ให้ทำอันตรายได้ แต่ยังไม่หายขาด จึงทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมไปเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันยอดรวมอยู่ที่ประมาณ 550,000 คน
ในจำนวนนี้ประมาณ 400,000 กว่าคนกินยาเป็นประจำละสม่ำเสมอ สามารถกดไวรัสลงมาได้จนถึงระดับไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น ซึ่งหากมองผิวเผินจะไม่สามารถรู้ได้ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเอดส์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้และไม่แพร่เชื้อ ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 150,000 คน ยังเป็นช่องว่างที่ต้องอาศัยความเข้าใจจากสังคมในการทำให้ผู้ติดเชื้อกล้าแสดงตัวมารับยาต้านไวรัส จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สังคมไม่ควรตีตรา
ขณะที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ซิฟิลิส หรือหนองใน สถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในช่วง 5-6 ปีที่่านมา ซิฟิลิสเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่าตัว ส่วนหนองใน ประมาณ 2 เท่าตัว ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนเรื่องพฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัย
นพ.พงศ์ธร เปิดเผยว่ากรมควบคุมโรคมีแผนยุติปัญหาเอดส์ ตั้งไว้ปลายสุดในปี 2573 โดยคาดหวังว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อปีจะไม่ถึง 1,000 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากเอดส์ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 4,000 คนต่อปี รวมถึงลดการเลือกปฏิบัติให้น้อยกว่า 10%
ทั้งนี้จะมีการจัดชุดบริการป้องกันให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง, ยกระดับงานป้องกันเพื่อให้มีประสิทธิผลที่เข้มแข็งขึ้น, พัฒนาและเร่งรัดการช่วยเหลือทางสังคมให้กับผู้ติดเชื้อ, ปรับภาพลักษณ์ ความเข้าใจและพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิของผู้ติดเชื้อ, เพิ่มความร่วมมือการร่วมลงทุนและการจัดการในภาครัฐ เอกชนปละประชาสังคม รวมถึงส่งเสริมพัฒนาการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการมุ่งสู่เป้าหมาย ซึ่งทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจาก สปสช. เป็นสิทธิประโยชน์ที่สามารถรับบริการได้ฟรี
สิทธิประโยชน์ สปสช.ป้องกันติด HIV ตั้งแต่อยู่ในท้อง
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ทุกวันนี้เอดส์ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะมียารักษาและสามารถควบคุมไวรัส HIV ให้อยู่ในระดับที่ควบคุมและไม่แพร่ไปยังผู้อื่นได้ สปสช.มีสิทธิประโยชน์ตั้งแต่เกิด เช่นเดียวกับการรักษาคนไข้เบาหวาน ความดัน
หากมีภาวะติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์จะมียาป้องกันการติดต่อสู่ลูก ส่วนคนทั่วไปที่มีความเสี่ยง สามารถรับถุงยางอนามัยและชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อได้ฟรี ที่ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ คลินิกเอกชนและโรงพยาบาล
นอกจากนี้มีระบบบริการเชิงรุกทำงานในชุมชน กรณีผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถเข้ารับคำปรึกษา หรือตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจได้ หากพบว่าไม่ติดเชื้อก็มีระบบยาป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่ยังไม่มีเชื้อ เรียกว่า PrEP ขณะนี้ดูแล 27,000 คน
ผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่เรื่อย ๆ จากพฤติกรรมหรือการประกอบอาชีพ เมื่อตรวจแล้วเป็นลบ สามารถรับยาป้องกันได้
ส่วนกลุ่มที่ติดเชื้อ HIV หรือผลเป็นบวกนั้น สปสช.ใช้งบประมาณจัดหายาปีละ 3,600 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ป่วยให้รับยาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่หน่วยบริการที่ตนเองสะดวกใจ ไม่ต้องเน้นใกล้บ้าน ขณะนี้มียอดผู้ที่รักษาในระบบจำนวน 450,000 คน ทำให้สามารถควบคุมระบบเชื้อไวรัสในเลือด สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ แข็งแรงและประกอบอาชีพได้
"ดูแลตั้งแต่ท้อง มียาป้องกันจากแม่สู่ลูก คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงรับชุดตรวจได้ใกล้บ้าน มารับถุงยางและยาป้องกันได้ หากมีเชื้อแล้วก็รับยาดูแลต่อเนื่องกันยาว ๆ เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังอย่างเบาหวาน ความดัน"
รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ยืนยันว่า HIV เป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
ขออย่าลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ "ผู้ติดเชื้อ HIV"
ด้านนางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ของผู้ป่วยในขณะนี้ไม่มีการเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว เพราะสามารถเข้าถึงยาและการรักษา ใช้ชีวิตได้เหมือนกับบุคคลทั่วไป ไม่มีความแตกต่าง สามารถมีชีวิตได้ เรียนได้ ทำงานได้ อยู่ร่วมกับคนอื่นและมีครอบครัวมีลูกได้
ตอนนี้ HIV ไม่สามารถทำลายชีวิตเรา เพราะมียาที่เอาชนะมันได้ ทำให้มีความหวัง รู้สึกว่าเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง เพราะมีความก้าวหน้าทั้งการรักษาและมีสิทธิการรักษาเข้าถึงผู้ติดเชื้อแล้ว
นางยุพา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีการเลือกปฏิบัติ แม้ผู้ติดเชื้อ HIV จะมีชีวิตดี ทำงานได้ สุขภาพแข็งแรง แต่ยังมีกฎระเบียบของบริษัทเอกชนหรือหน่วยงานราชการที่กำหนดไว้เป็นข้อห้าม คือ กำหนดว่า HIV เป็นโรคร้ายแรง เช่น การรับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร ซึ่งเป็นการจำกัดกลุ่มผู้ติดเชื้อที่สนใจในอาชีพต่างๆ หรือเป็นอุปสรรคต่อเด็กที่เรียนหนังสือ หากยังมีกฎระเบียบเหล่านี้อาจทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้ความก้าวหน้าทางการรักษาจะดีขึ้น
"หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันก็ถือว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV อยากให้ตรวจสักครั้งเพื่อทราบถึงสถานะและจะช่วยในการดูแลรักษาตัวเอง แต่ถ้าสังคมยังมองว่าผู้ติดเชื้อ HIV น่ากลัว น่ารังเกียจ ก็จะส่งผลต่อคนที่อยากรู้สถานะว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่เพราะหากรู้แล้วคนจะรังเกียจ แต่ถ้าสังคมไม่รังเกียจก็จะเอื้อต่อการเข้าตรวจสถานะ"
นางยุพา ยังกล่าวว่า การตรวจ HIV เป็นการตรวจเพื่อยอมรับในการเข้าสู่ระบบการรักษา แต่ไม่ใช่การเปิดเผย เพราะหากเรายอมรับการรักษาก็จะดูแลตัวเองได้ ส่วนเรื่องการเปิดเผยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ไม่ห้ามที่จะคนอื่น ๆ จะรังเกียจหรือกลัว แต่ขออย่าลดศักดิ์ศรี ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของเราให้น้อยลง
หมอแนะตรวจ HIV อย่างน้อย 1 ครั้ง หากเคยมีเพศสัมพันธ์
ขณะที่ ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ แม้กระทั่งครั้งเดียวในชีวิตกับใครก็ตาม ถือว่ามีความเสี่ยง จึงขอให้ไปตรวจ HIV อย่างน้อย 1 ครั้ง และหากไม่พบความเสี่ยงอีกก็ไม่ต้องตรวจซ้ำ
"จากโรคที่รักษาไม่ได้ เป็นแล้วป่วยตาย ทุกวันนี้เอดส์เป็นโรคที่รักษาและป้องกันได้ เมื่อเป็นแล้วรักษาด้วยยาต้าน ภายใน 1-2 เดือนออกจากวัด ออกจากบ้านได้ ทำงานได้ ไม่เป็นภาระครอบครัว และรัฐบาลจ่ายค่าดูแลรักษา เมื่อรักษาครบ 3-6 เดือนจะไม่แพร่เชื้อให้ใครได้"
ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ กล่าวอีกว่า เอดส์กลายเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จึงต้องทำให้การตรวจเลือดหาเชื้อกลายเป็นเรื่องปกติ เพื่อให้ตรวจพบได้รวดเร็วและไม่แพร่เชื้อ ส่วนกรณีที่ตรวจไม่พบเชื้อ สามารถรับยาป้องกันการติดเชื้อ HIV หรือ PrEP ที่ป้องกันได้ 99.5%
ไทยมีความพร้อมของยา บุคลากรทางการแพทย์ องค์ชุมชนที่ได้รับการอบรมขึ้นทะเบียน ทำหน้าที่เสริมกับแพทย์ ซึ่งเอดส์ในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อ 40 ปีที่แล้ว
4 กลุ่มสำคัญร่วม "ยุติเอดส์"
ส่วนนายนิมิตร์ เทียนอุดม ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบและกำกับติดตามการเข้าถึงบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี เปิดเผยถึงแนวทางสำคัญในการยุติเอดส์ในประเทศไทย โดยเน้นบทบาทของบุคคล 4 กลุ่มหลัก ที่สามารถมีส่วนร่วมในการลดการติดเชื้อใหม่
กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่นอนอยู่ตามวัด หากรู้ตัวว่าติดเชื้อ HIV หรือกำลังเจ็บป่วยและไม่ได้รับการรักษา สามารถโทรแจ้งได้ที่สายด่วน 1330 หรือ 1663 เพื่อเล่าอาการและความเป็นอยู่ จะมีอาสาสมัครลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ โดยจะพาเข้าสู่ระบบการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งหากเข้าสู่กระบวนการรักษาเร็วก็สามารถป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะเอดส์ระยะสุดท้ายได้
กลุ่มที่ 2 บุคคลทั่วไปที่มีความเสี่ยง สำหรับผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือมีความเสี่ยงติดเชื้อ HIV สามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อได้ หากประชาชนประเมินความเสี่ยงตนเองและเข้าถึงชุดตรวจ HIV จะช่วยให้รู้สถานะตนเองได้เร็วขึ้น
ปัจจุบันมีการแจกจ่ายชุดตรวจปีละกว่า 1,000,000 ชุด พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละประมาณ 30,000 คน การรู้สถานะตนเองคือจุดเริ่มต้นของการรักษาและยับยั้งการแพร่เชื้อ
กลุ่มที่ 3 นายจ้างและฝ่ายบุคคล การติดเชื้อ HIV ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน เพราะ HIV ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ใช่จากการอยู่ร่วมกัน การที่นายจ้างหรือฝ่ายบุคคลมีความเข้าใจจะเป็นการสร้างสังคมให้ลดอคติ ลดการรังเกียจและลดการกีดกัน
กลุ่มที่ 4 บุคลากรทางการแพทย์ หมอและพยาบาลถือเป็นด่านสำคัญในการช่วยคัดกรองและรักษา หากพบผู้มีอาการน่าสงสัย ควรตรวจและเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว เพราะการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยควบคุมการแพร่เชื้อและช่วยให้ผู้ติดเชื้อฟื้นร่างกายได้เร็วขึ้น
นายนิมิตร์ ยังระบุว่า คนทั้ง 4 กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก หากต้องการให้ประเทศไทยก้าวสู่เป้าหมายยุติเอดส์ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน อย่าให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อของการเรี่ยไร บริจาค หรือปล่อยให้เสียชีวิต ทั้งที่สามารถรักษาและมีชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ พร้อมย้ำว่าอย่าตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาหลอกลวง ทั้งอาหารเสริมหรือยาบำรุงที่อ้างว่ารักษาเอดส์ได้
อ่านข่าว
ลาออกแล้ว "พระอลงกต" เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ
"สุชาติ" ลง "วัดพระบาทน้ำพุ" บ่ายนี้ ตรวจสอบมูลนิธิฯ
รอง ผบก.ป.ยันคดีวัดพระบาทน้ำพุคืบหน้า ได้เส้นเงินบริจาคบัญชี "หมอบี"