ฝ่ายค้าน–รัฐบาลร่วมเห็นตรงตั้ง กมธ.ศึกษาเลิก MOU 43-44 รอสัปดาห์หน้าจัดสรรบุคคล "พท." ดัน "นพดล" จ่อนั่งประธาน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือ เอ็มโอยู 43 ,44 โดยมีสมาชิกจากหลายพรรคการเมืองเสนอมาทั้งหมด 5 ญัตติ ซึ่งนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานรัฐบาล ชี้แจงว่า ขอให้เป็นการประชุมลับ และจะเปิดโอกาสให้มีการเสนอญัตติและอภิปรายจากผู้เสนอ แต่พอถึงช่วงอภิปรายให้เป็นการประชุมลับ เพื่อป้องกันความมั่นคงของประเทศ
แต่บรรยากาศในห้องประชุมก็มีการถกเถียงว่าเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ เลยจุดที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ควรอภิปรายแบบเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ทั้งหมด แต่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลยังยืนยันคำเดิมว่า ให้เป็นการประชุมลับ
จากนั้น นายไชยยา พรหมมา ประธานการประชุม ได้ใช้ข้อบังคับ ให้ใช้เสียงสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด คือ 123 คน ปรากฏว่า มีผู้รับรองให้ประชุมลับ 196 คน ซึ่งตามข้อบังคับผู้ที่เสนอญัตติ ทั้ง 5 คน จะสามารถเสนอญัตติได้ตามการประชุมปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงสมาชิกอภิปรายก็จะเป็นการประชุมลับ งดการถ่ายทอดออกสู่ภายนอก
ต่อจากนั้นน.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ผู้เสนอญัตติชี้แจงว่า พรรคภท.เสนอญัตตินี้เพราะต้องการให้มีการศึกษากฎหมายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำผลมาสู่การตัดสินใจของประชาชนด้วยการผ่านการทำประชามติ โดยชี้ว่า MOU 44 แม้ลงนามมานานแต่ไม่เคยสรุปเขตแดนได้ชัด หากจะยกเลิก MOU 43 และ 44 ก็ควรตั้งกมธ.วิสามัญมาศึกษาก่อน การยกเลิกไม่ใช่การล้างทุกอย่าง แต่ต้องทำเพื่อประโยชน์ของไทย ไม่ใช่เสียเปรียบฝ่ายเดียว
ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ผู้เสนอญัตติ สนับสนุนการตั้งกมธ. แต่เห็นว่าควรส่งต่อผลการศึกษาให้รัฐบาลชุดหน้าที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งมีความชอบธรรมมากกว่า โดยเสนอกรอบการทำงาน 4 ประเด็น คือ ศึกษาผลกระทบต่อเวทีระหว่างประเทศ ศึกษาผลกระทบต่อการเจรจาทวิภาคีด้านเขตแดน หากยกเลิก MOU ต้องมีกลไกใหม่ทดแทนการเจรจาไทย–กัมพูชา และ4. พิจารณาผลกระทบช่วงที่ยังไม่มีกลไกปักปันเขตแดน และต้องไม่ลืมการเยียวยาความสูญเสียของคนไทยจากการบริหารผิดพลาดที่ผ่านมา
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอว่า การยกเลิก MOU 43 มีข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะจะทำให้ไทยไร้กรอบเจรจา ไม่สามารถห้ามกัมพูชาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่พิพาท และเสี่ยงปะทะทางทหาร อีกทั้งอาจเปิดช่องให้กัมพูชายกระดับเรื่องเขตแดนขึ้นศาลโลก โดยย้ำว่า MOU 43 เป็นเครื่องมือที่ทำให้ไทยได้เปรียบตามที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมายยืนยัน ส่วน MOU 44 กำหนดให้ทั้งสองประเทศต้องเจรจาร่วมในผลประโยชน์ทางทะเล เช่น น้ำมันและก๊าซ แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะเอ็มโอยูกำหนดให้ทำได้ เมื่อเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนร่วมกันไปด้วย ส่วนเฟกนิวส์ที่ระบุว่า อดีตนายกฯบอกหากตกลงไม่ได้ ให้แบ่ง 50 ต่อ 50 นั้นไม่จริงและเป็นไปไม่ได้ มีบางคนกล่าวหาในโซเชียลมีเดียว่า เป็นเอ็มโอยูขายชาตินั้น ไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และเหตุผล ยินดีหากสภาฯมีมติตั้งกมธ.ศึกษา ระดมสมองรับฟังความเห็น
อย่างไรก็ตาม หลังการชี้แจงของผู้เสนอญัตติครบถ้วน ที่ประชุมได้เปิดให้สมาชิกร่วมอภิปรายในรูปแบบประชุมลับ จนกระทั้งเวลา 17.40 น. ภายหลังการประชุมลับมาประมาณ 2 ชั่วโมง ได้กลับมาเปิดการประชุมอีกครั้ง โดยนายไชยา ทำหน้าที่ประธานการประชุม แจ้งผลการประชุมลับว่า จากญัตติในลักษณะดังกล่าวที่มีผู้เสนอขอให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษา รวมถึงขอให้ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาดำเนินการ แต่จากการฟังการอภิปรายของสมาชิกส่วนใหญ่ และรับการประสานงานจากตัวแทนวิปทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะต้องมีการตั้งกมธ.วิสามัญ
ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้มีการตั้งกมธ.ฯ วิสามัญ เพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว แต่ให้เลื่อนการตั้งกมธ.วิสามัญไปเป็นการประชุมสัปดาห์หน้า เนื่องจากตัวแทนพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ขอระยะเวลาในการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งในกมธ.วิสามัญ ทั้งนี้มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทยได้วางตัวนายนพดลนั่งเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ