ร่วมพิธีเปิดตัวรูปปั้นหลิน เจ๋อสีว์– เส้นทางสี จิ้นผิง(194)
ร่วมพิธีเปิดตัวรูปปั้นหลิน เจ๋อสีว์-- เส้นทางสี จิ้นผิง(194)
ตามคำแนะนำของนายสี จิ้นผิง หน่วยงานและเมืองที่เกี่ยวข้องได้เริ่มกระบวนการคัดเลือกแบบและสร้างรูปปั้น โดยได้ทยอยสร้างขึ้นตามประตูเมืองทั้งสี่แห่งเมื่อปี 1994
วันที่ 19 มกราคม ปี 1995 รูปปั้นหวัง เสิ่นจือที่ประตูโต่วเหมินได้สร้างเสร็จ เป็นประติมากรรมที่ทำจากหินอ่อนสีขาว สื่อถึงภาพลักษณ์อันองอาจและผลงานอันโดดเด่นของหวัง เสิ่นจือในฐานะผู้บุกเบิกฝูเจี้ยนและสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ทั้งทางวัฒนธรรมและการทหารที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
วันที่ 3 มิถุนายนปีเดียวกัน ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 156 ปี “เหตุการณ์เผาทำลายฝิ่นหู่เหมิน” ได้มีการจัดพิธีเปิดตัวรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของหลิน เจ๋อสีว์ที่ประตูทิศใต้-บริเวณไป๋หูถิงของเมืองฝูโจว รูปปั้นนี้ออกแบบโดยศาสตราจารย์หลี่ เหวยซื่อจากมหาวิทยาลัยเซี่ยเหมิน มีลักษณะสง่างามและเคร่งขรึม
นายสี จิ้นผิงได้ร่วมพิธีเปิดและกล่าวว่า “ฝูโจว คือ บ้านเกิดของหลิน เจ๋อสีว์ และหลิน เจ๋อสีว์ถือเป็นเกียรติภูมิและความภาคภูมิใจของชาวฝูโจว วันนี้ ชาวบ้านได้สร้างรูปปั้นของหลิน เจ๋อสีว์ขึ้น ก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับตนเอง เป็นการให้การศึกษาแก่คนรุ่นหลัง เพื่อให้จิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของชนชาติจีนที่หลิน เจ๋อสีว์แสดงออกมาถูกส่งต่อและรุ่งเรืองตลอดไป”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องใช้รูปปั้นหลิน เจ๋อสีว์ให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาอย่างเต็มที่ จัดกิจกรรมให้ประชาชนทั้งเมืองโดยเฉพาะเยาวชนได้มาเคารพสักการะรูปปั้นนี้อย่างกว้างขวาง ให้รูปปั้นนี้ รวมถึงอนุสรณ์สสถานหลิน เจ๋อสีว์ และบ้านพักโบราณหลิน เจ๋อสีว์ กลายเป็นฐานการศึกษาด้านคุณธรรมสำหรับเยาวชนแบบครบวงจร เพื่อส่งเสริมให้การศึกษาด้านความรักชาติของเมืองเราดำเนินไปอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ต่อมา รูปปั้นเหยียน ฟู่และรูปปั้นจาง ป๋ออี้ว์ก็ถูกสร้างขึ้นและประดิษฐานไว้ที่บริเวณประตูตะวันออก-กู่ซานเซี่ยย่วน และบริเวณประตูตะวันตก-ทางแยกระหว่างถนนหยางเฉียวกับถนนไป๋หม่าลู่ในเมืองฝูโจว ตามลำดับ หลังจากนั้น ด้วยเหตุผลด้านการขยายเมืองและการก่อสร้างถนน จึงมีการย้ายรูปปั้นเหยียน ฟู่ไปยังจัตุรัสหม่าเจียงตู้ในเขตหมาเหว่ย ส่วนรูปปั้นจาง ป๋ออี้ว์ก็ถูกย้ายไปยังด้านทิศเหนือของสวนสาธารณะริมแม่น้ำหมิ่นเจียง
ปัจจุบัน รูปปั้นเหล่านี้ได้หลอมรวมเข้ากับตัวตนของเมืองฝูโจวซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สืบทอดมรดก และเผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณของชนชาติ
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แห่งศตวรรษที่ 20 การพัฒนาวัฒนธรรมของเมืองฝูโจวเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก การสร้างสรรค์และการแสดงงิ้วหมิ่นจี้ว์ รวมถึงการสร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ ต่างบังเกิดผลที่ดี แต่ในด้านวรรณกรรม ดนตรี การเต้นรำ เป็นต้น ยังถือว่าพัฒนาได้ไม่มากนัก
วันที่ 10 กรกฎาคม ค.ศ. 1993 เมืองฝูโจวได้จัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการส่งเสริมงานวัฒนธรรมให้เจริญรุ่งเรือง นายสี จิ้นผิงกล่าวในที่ประชุมว่า “เราควรใช้แนวทางแบบเดียวกับที่ใช้ในการ ‘ฟื้นฟูงิ้วหมิ่นจี้ว์’ มาส่งเสริมการสร้างสรรค์ศิลปะแขนงอื่นๆ เช่น วรรณกรรม ดนตรี ภาพยนตร์และโทรทัศน์ การร้องเพลงและเต้นรำ ศิลปะพื้นบ้าน จิตรกรรม เป็นต้น ศิลปะแต่ละสาขาต่างก็ต้องยกระดับกำลังการผลิตอย่างจริงจัง ต่างก็ต้องพยายามเพิ่มปริมาณการสร้างสรรค์ และยกระดับคุณภาพให้สูงขึ้น มุ่งมั่นรังสรรค์ผลงานใหญ่ ผลงานเด่น และผลงานคลาสสิกให้เกิดขึ้น”
ขณะนั้น คณะร้องรำทำเพลงเมืองฝูโจวมีความมุ่งมั่นสูง แต่ขาดแคลนบุคลากรฝีมือดี จึงไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้
พวกเขารายงานไปยังผู้นำว่า “ภายใน ขาดนักแสดงมืออาชีพ ภายนอก ก็ไม่มีโครงสร้างการฝึกอบรมที่เป็นระบบ คณะร้องรำทำเพลงขนาดใหญ่เช่นนี้ แต่แทบจะหาแหล่งผลิตนักเต้นมืออาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของมณฑลไม่ได้เลย”
หลังนายสี จิ้นผิงทราบถึงสถานการณ์นี้ในปี 1993 จึงตัดสินใจว่าจะบ่มเพาะบุคลากรจากจุดเริ่มต้นและระดับที่สูงยิ่งขึ้น ได้คัดเลือกเยาวชนที่มีพื้นฐานดีจำนวน 24 คนจากทั่วมณฑลและทั่วประเทศ ส่งไปศึกษาแบบเจาะจงที่สถาบันเต้นรำปักกิ่งพร้อมเปิด “คลาสฝูโจว” ขึ้นเป็นพิเศษ ในการนี้ทางเทศบาลเมืองได้จัดสรรงบประมาณพิเศษจำนวน 240,000 หยวน ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากในยุคนั้น
เมล็ดพันธุ์แห่งความโชคดี ได้ตกลงไปที่หลิน ชูหมิ่น ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังผ่านการแนะนำและคัดเลือก เธอได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของ “คลาสฝูโจว” เพื่อนร่วมรุ่นอีก 23 คน ที่ถูกคัดเลือกมาจากทั้งมณฑลฝูเจี้ยนและมณฑลใกล้เคียง ล้วนเป็นวัยรุ่นเช่นเดียวกัน
แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน(CMG)
ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่