“คาจิกิ” แตะชายฝั่งเวียดนามแล้ว คาดเคลื่อนตัวถึงไทยเช้าตรู่พรุ่งนี้
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 26 สิงหาคม 2568 เวลา 4.11 น. • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 25 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยศูนย์กลางพายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” อยู่ที่ชายฝั่งเวียดนามแล้ว คาดเมื่อเข้าสู่แผ่นดิน จะอ่อนกำลังลงตามลำดับ จากนั้นเมื่อเคลื่อนถึงไทยที่ จ.น่าน จะเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ขณะที่ “ประเสริฐ” สั่งกรมอุตุฯ ตั้งศูนย์ติดตามและเฝ้าระวังตลอด 24 ชม.
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดศูนย์เฝ้าระวังพายุ “คาจิกิ” ที่กรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อให้ติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการแจ้งเตือนประชาชน หากมีเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งส่งข้อมูลให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสม
นางสาวสุกันยาณี ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวรายงานว่า เมื่อพายุคาจิกิเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งเวียดนามจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ จากนั้นจะเคลื่อนตัวผ่านลาวและเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่าน ช่วงรอยต่อของคืนวันที่ 25 ถึงเช้าตรู่วันที่ 26 สิงหาคม โดยขณะเข้าสู่ประเทศไทยจะเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง พื้นที่ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะได้รับอิทธิพลจากขอบของพายุ ซึ่งจะทำให้มีลมแรง ขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าอยู่ใกล้สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่ไม่แข็งแรง ไม่อยู่กลางแจ้ง หย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่แรงขึ้น จะทำให้มีฝนตกกระจายทุกภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคเหนือจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบจากพายุวิภาก่อนหน้านี้ ซึ่งมีปริมาณน้ำในแหล่งน้ำมากและดินอิ่มน้ำ จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แม้พายุคาจิกาจะมีทิศทางเคลื่อนตัวต่ำกว่าต่ำกว่าพายุวิภาและคาดว่า จะทำให้มีปริมาณฝนน้อยกว่าก็ตาม แต่บางพื้นที่อาจมีปริมาณฝนสะสม 3 วันถึง 150 มิลลิเมตรได้
รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ได้สั่งการให้ สทนช. ประสานหน่วยงานต่าง ๆ ในการบริหารจัดน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ หลังจากพายุวิภาได้เน้นย้ำให้เร่งระบายน้ำเนื่องจากกลางฤดูฝนเป็นต้นไป จะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ซึ่ง สทนช. ดำเนินการต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้เริ่มแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงแล้ว
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับศูนย์ส่วนหน้าฯ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ ซึ่งคาดว่า ฝนจากพายุคาจิกิ จะส่งผลให้ในช่วงวันที่ 25 – 30 สิงหาคมนี้ จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพิ่มเติมจำนวนมาก โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ที่คาดจะมีน้ำไหลเข้าแห่งละมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) รวมถึงเขื่อนน้ำอูนและหนองหาร จังหวัดสกลนคร ที่แต่ละแห่งคาดว่าจะมีน้ำไหลเข้ามากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. จึงได้หารือร่วมกับกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อปรับอัตราการระบายน้ำของอ่างฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในส่วนของเขื่อนสิริกิติ์ที่ยังคงมีปริมาณน้ำมาก ได้ปรับอัตราการระบายน้ำจากเดิม 45 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน เป็น 50 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน ในช่วงวันที่ 23 – 31 สิงหาคม 2568 โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งหมดของลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้มีการประสานงานเพื่อบริหารจัดการน้ำร่วมกับเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ให้มีความสมดุล ช่วยป้องกันผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและชุมชนเมือง ทั้งในด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำ นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำการเตรียมพื้นที่ลุ่มต่ำสำหรับหน่วงน้ำหลากก่อนไหลเข้าสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทั้งทุ่งบางระกำ ทุ่งลุ่มต่ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง 10 ทุ่ง และบึงบอระเพ็ด ซึ่งปัจจุบันเกือบทุกแห่งเก็บเกี่ยวผลผลิตใกล้แล้วเสร็จ ยกเว้นทุ่งบางกุ่มที่คาดว่าจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ โดยที่ผ่านมากรมชลประทานได้ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับพี่น้องเกษตรกรและประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่ริมแม่น้ำโขง ได้เน้นย้ำให้จังหวัดเตรียมพร้อมรับมือกับระดับน้ำโขงที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย สทนช. จะประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) เพื่อประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำล้นตลิ่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำข้อมูลมาบูรณาการร่วมกับจังหวัดในการบริหารจัดการน้ำและแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมทั้งจะประสานงานร่วมกับลาวในการระบายน้ำของเขื่อนที่มีน้ำมาก รวมทั้งประสานไปยังประเทศจีน ในการบริหารจัดการเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำให้สอดคล้องกับลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชนริมแม่น้ำโขง ในส่วนของแหล่งกักเก็บน้ำทุกขนาดที่ได้มีการพร่องน้ำเตรียมพื้นที่ว่างไว้แล้ว แต่ยังมีปริมาณน้ำค่อนข้างมากหรือมีแนวโน้มน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้น อาทิ หนองกุดทิง จังหวัดบึงกาฬ และเขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร จะต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายน้ำ เพิ่มพื้นที่รองรับน้ำไหลเข้า โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำ
นายสุรีสีห์ กล่าวย้ำว่า พายุ “คาจิกิ” มีเส้นทางใกล้เคียงกับ พายุ “วิภา” แต่จะมีแนวโน้มทำให้ฝนกระจายตัวมากกว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งซ่อมแซมคันกั้นน้ำที่ชำรุดเสียหาย การเตรียมความพร้อมเครื่องจักรสาธารณภัย การติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือเพื่อสูบระบายน้ำ การจัดเตรียมชุดปฏิบัติการเพื่อเฝ้าระวังในทุกจุดเสี่ยง โดยวันนี้ยังคงเน้นย้ำในเรื่องการเตรียมแผนอพยพผู้ประสบภัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ให้มีความพร้อมสูงสุด รวมถึงกำชับให้ทุกจังหวัดติดตามข้อมูลฝนจาก Radar Composite โดยกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) เพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดฝนตกหนักและแจ้งเตือนประชาชนได้ทันท่วงที. -512-สำนักข่าวไทย