‘จุฬาฯ’สกัดจุดอ่อนทีมเวิร์กห้องฉุกเฉินเปิดนวัตกรรมลดสูญชีวิต – เสียหายเฉียดหมื่นล้าน
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ผลักดันให้ ศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(CUD4S) ร่วมกับภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดตัว“ER-VIPE” (Emergency Room–VirtualInterprofessional Education) นวัตกรรมการศึกษาด้านการแพทย์ เพื่อฝึกอบรมทีมสหวิชาชีพดูแลผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉินผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง เสริมสร้างทักษะการทำงานเป็นทีม ป้องกันความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) ยกระดับความปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นหัวใจของระบบการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมาย Zero Harm 2030 ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ต้องการลดอันตรายที่สามารถป้องกันได้ในระบบการดูแลสุขภาพให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030
ล่าสุดภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, ศูนย์ออกแบบการศึกษาเพื่อสังคม CUD4S Academy แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Takeda (Thailand), Ltd. ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ พร้อมจัดเวทีเสวนาวิชาการ“ER-VIPE : พัฒนาทีมสุขภาพสู่ความปลอดภัยผู้ป่วยอย่างยั่งยืน” ควบคู่โครงการฝึกอบรม TeamSTEPPS Essential and IPE Virtual Simulation Workshop รุ่นที่ 2 โดยมี ผู้แทนจาก 9 องค์กรวิชาชีพสุขภาพ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เพื่อต่อยอดสู่นโยบายระดับชาติ
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า ความปลอดภัยของผู้ป่วยคือหัวใจสำคัญของการดูแลทางการแพทย์ และนี่คือเหตุผลที่ทีมจุฬาฯ ได้พัฒนา ER-VIPE (Emergency Room–Virtual Interprofessional Education)
“ER-VIPE เป็นนวัตกรรมการศึกษาด้านการแพทย์ที่จะช่วยให้ทีมสหวิชาชีพสามารถพัฒนาทักษะ Non-Technical Skills และฝึกฝนการทำงานร่วมกันผ่านเทคโนโลยี Virtual Simulation ในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ผลลัพธ์ชัดเจนว่า นวัตกรรมนี้สามารถยกระดับทั้งความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความสุขของทีมงานได้จริง” รศ.นพ.ฉันชาย กล่าว
แก้ปัญหาทีมเวิร์กห้องฉุกเฉิน
ผศ.พญ.ขวัญศิริ นราจีนรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ แผนกเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหัวหน้าโครงการ ER-VIPE เล่าจากประสบการณ์ตลอดการทำงานกว่า 20 ปีว่า “การดูแลผู้ป่วยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเก่งที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าทีมทำงานด้วยกันได้ดีแค่ไหน งานวิจัยจำนวนมากชี้ตรงกันว่า ความผิดพลาดทางการแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากความรู้ไม่พอ แต่เกิดจากปัญหาทีมเวิร์ก
จากสถิติพบว่าการรับบริการทางการแพทย์ที่อาจไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นในประเทศไทยสูงถึง 400,000 ครั้ง/ปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 9,600 ล้านบาท/ปี
ขณะที่ข้อมูลสถิติต่างประเทศเผยว่า การเสียชีวิตจาก “ข้อผิดพลาดทางการแพทย์” (Medical Error) มากกว่าเครื่องบินตกถึง 10,000 เท่า แต่เรากลับไม่รู้สึกตกใจเท่ากับตอนที่มีข่าวเครื่องบินตก นี่คือเหตุผลที่ WHO ตั้งเป้า Zero Harm ภายในปี 2030 ถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันป้องกันความสูญเสียนี้ โดยเริ่มจากทีมที่แข็งแกร่งและทักษะการสื่อสาร” ผศ.พญ.ขวัญศิริ ย้ำ
ER-VIPE จึงเป็นนวัตกรรมเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้แพทย์ พยาบาล เภสัชกร รังสีเทคนิค เทคนิคการแพทย์ และบุคลากรสุขภาพสาขาอื่น ๆ ได้ฝึกซ้อมสถานการณ์จริงในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง(Virtual Simulation) โดยไม่เสี่ยงต่อชีวิตจริงของผู้ป่วย พร้อมรับคำแนะนำและวิเคราะห์การทำงานเป็นทีมและผลความปลอดภัยของ ผู้ป่วยและทีมให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านระบบดิจิทัล ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้แบบ “Med-Edutainment Technology” ที่ออกแบบการเรียนรู้ทางการแพทย์ฉุกเฉินในรูปแบบที่สนุก เข้าใจง่าย ผสานพลังของ HEART (ภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจ), HEAD (MOOC ความรู้), และ HAND (เกมจำลองสถานการณ์) เข้าไว้ด้วยกัน
“สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่ Protocol แต่คือการประสานงาน ของทีม และนั่นคือสิ่งที่ TeamSTEPPS ถูกออกแบบมา เพื่อ เป็น “ภาษากลาง” ที่ทุกวิชาชีพเข้าใจตรงกัน กล้าสื่อสาร และทำงานอย่างสอดประสานในสถานการณ์วิกฤติ” ผศ.พญ.ขวัญศิริ ย้ำ
นวัตกรรมยกระดับสุขภาพยั่งยืน
ผศ.พญ.ขวัญศิริ หัวหน้าโครงการ ER-VIPE กล่าวเพิ่มเติมว่า ER-VIPE เป็นการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ตอบโจทย์ 3 มิติสำคัญ ได้แก่ Equity (ความเสมอภาค)–ใครเรียนที่ไหนเมื่อไหร่ย่อมได้, Scalability (ขยายผลได้จริง) เพื่อเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก, และ Sustainability (ความยั่งยืน)–เชื่อมโยงกับนโยบายทั้งในระดับชาติและโลก สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้แก่ SDG 3 : สุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดี, SDG 4 : การศึกษาที่มีคุณภาพ และ SDG 9 : นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการบรรลุเป้าหมาย WHO Zero Harm ในปี 2030
ทั้งนี้ จากงานวิจัยชี้ชัดว่า การฝึกอบรมผ่าน ER-VIPE ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างมีนัยสำคัญ ช่วยลดความผิดพลาดทางการแพทย์เฉลี่ย 3.5 ครั้งต่อเดือน, ลดการเสียชีวิตเฉลี่ย 2.3 รายต่อเดือน และเพิ่มความพึงพอใจผู้ป่วยเกือบ 1% ต่อเดือน ทั้งหมดนี้ลงทุนเพียง 16,500 ดอลลาร์สหรัฐ แต่สร้างผลตอบแทนเชิงสังคมที่จับต้องได้จริงในระบบสุขภาพ การเรียนรู้ผ่าน Virtual Simulation (Digital E-Health) ยังมีต้นทุนถูกกว่าการใช้หุ่นจำลอง Manikins และผู้ป่วยจำลอง 3-4 เท่า สามารถทำซ้ำได้ไม่จำกัด และขยายผลไปยังบุคลากรจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
“โครงการ ER-VIPE จึงไม่เพียงเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ แต่ยังเป็นนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารทำงานเป็นทีม (Non-Technical Skills) ของบุคลากรสุขภาพ ทั้งในห้องเรียนและการปฏิบัติงานจริง เพื่อเตรียมกำลังทรัพยากรมนุษย์ไว้ให้พร้อมรับมือกับวิกฤติและภัยพิบัติโลกอนาคตซึ่งไม่แน่นอน และช่วยให้ทีมสุขภาพทำงานได้อย่างมีความสุข ปลอดภัย และยั่งยืน และผู้ป่วยมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย” ผศ.พญ.ขวัญศิริ หัวหน้าโครงการ ER-VIPE กล่าว
ชูโมเดลธุรกิจขยายผลระดับประเทศ
ด้าน ดร.ทรรศวรรณ ปรีดาวิภาต ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CUD4S) กล่าวว่า CUD4S มีความเชื่อว่าการออกแบบไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงในรูปแบบสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังสามารถออกแบบ “ระบบ” ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนได้จริง โดยโครงการ ER-VIPE ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจเพื่อสังคม เป็นต้นแบบของระบบการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่บูรณาการองค์ความรู้ด้านการแพทย์ การศึกษา และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะทีมสุขภาพ และลดความผิดพลาดในห้องฉุกเฉิน โดยได้เริ่มทดลองใช้ในโรงพยาบาลนำร่อง 5 แห่ง ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า โครงการสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารได้ถึง 28% ลดข้อผิดพลาดร้ายแรงในห้องฉุกเฉินได้ 38 ครั้ง และช่วยลดภาวะหมดไฟ (Burnout) ของบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญ
โครงการ ER-VIPE จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการฝึกอบรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ ส่งเสริมความร่วมมือที่เข้าอกเข้าใจระหว่างทีมสุขภาพและครอบครัวผู้ป่วย ทำให้ทีมสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น สะท้อนถึงการเป็น “นวัตกรรมเพื่อสังคม” ที่เชื่อมโยงสุขภาพ การศึกษา นวัตกรรม และความเสมอภาคเข้าด้วยกันอย่างลงตัว.