‘คิดงานไม่ออก ให้ออกไปเดินเล่น’ เมื่อเมืองที่อนุญาตให้เราได้เดินไม่ใช่แค่กระตุ้นความคิด แต่ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เคยสังเกตไหมว่าเรามักคิดสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น เมื่อได้ออกไปเดินเล่นข้างนอก
เวลาเห็นใครบางคนแอบแวบออกไปเดินเล่นในวันที่ต้องการไอเดียอย่างเร่งด่วน อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปว่าพี่คนนั้น หรือน้องคนนี้แอบไปอู้งานนะ เพราะบางทีเขาอาจกำลังใช้ความคิดอยู่ก็ได้
แม้ว่านี่จะฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวสำหรับคนที่ชอบแวบออกไปหาแรงบันดาลใจนอกโต๊ะทำงาน แต่อันที่จริงการเดินเล่นเป็นวิธีที่เหล่านักคิดผู้ยิ่งใหญ่ใช้กันมานานแล้ว อย่างฟรีดริช นีตซ์เช
(Friedrich Nietzsche) นักปรัชญาที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเจตจำนงเสรีและการมีชีวิตอยู่ มักเดินวันละ 6 - 8 ชั่วโมงเพื่อใช้ความคิด จากนั้นจึงค่อยเขียนความคิดที่ได้ลงบนกระดาษภายหลัง
แต่เดี๋ยวก่อน ได้ยินแบบนี้แล้วอย่าเพิ่งอึ้ง จนล้มเลิกความคิดที่จะออกไปเดินเล่นนะ เพราะคนธรรมดาที่มีภาระอย่างเราๆ อาจไม่ต้องเดินถึงแปดชั่วโมงอย่างใครเขา แต่แค่ออกมาเดินเล่นเบาๆ สัมผัสสายลม แสงแดดรำไรในเมืองบ้างสักหน่อยก็ถือว่าได้ประโยชน์ไม่แพ้กันแล้ว
เมื่อการเดินเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน แล้วจะมีวิธีไหนที่ทำให้เมืองกลายเป็นเมืองที่เดินได้สำหรับทุกคนได้บ้าง แล้วถ้าอยากเริ่มต้นเตร็ดเตร่ในเมืองควรทำยังไง
สารพัดประโยชน์ของการเดินเท้า
หลายคนอาจเคยได้ยินเคล็ดลับจากนักคิด หรือนักสร้างสรรค์ที่มักเผยเบื้องหลังของไอเดียเจ๋งๆ ว่าส่วนใหญ่แล้วมันมาแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วงเวลาผ่อนคลาย อย่างการออกไปเดินเล่น ซึ่งการที่ไอเดียโผล่มาในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ยืนยันด้วยงานวิจัยจากสแตนฟอร์ดที่พบว่าการทอดน่องช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้จริง เมื่อเทียบกับคนที่นั่งทำงานอยู่กับที่
แล้วเขาวัดความคิดสร้างสรรค์กันยังไงล่ะ? งานนี้ทดสอบกับผู้เข้าร่วม 176 คน เข้าร่วมการทดลอง 4 ครั้ง โดย 3 การทดลองแรก จะให้ผู้เข้าร่วมคิดหาวิธีใช้สิ่งของให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งคำตอบต้องแปลกใหม่และใช้ได้จริงด้วย ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมที่เดินสามารถคิดคำตอบได้เพิ่มขึ้นถึง 60% เมื่อเดินบนลู่วิ่งในร่ม
ส่วนการทดลองสุดท้าย ทดสอบการใช้ความคิดที่ซับซ้อนขึ้น อย่างการให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปรียบเปรยเหตุการณ์ที่มีความรู้สึกคล้ายกับโจทย์ เช่น โจทย์คือ ‘มีคนขโมยของจากตู้เซฟ’ อาจเทียบได้กับ ‘ทหารที่เป็น PTSD’ แต่ไม่เท่ากับ ‘ไม่มีเงินในกระเป๋า’ ผลลัพธ์พบว่าคนที่เดินนอกอาคารสามารถให้คำตอบที่ถูกต้องได้ถึง 100% อย่างน้อย 1 คำตอบ ในขณะที่กลุ่มคนที่นั่งในอาคารทำได้เพียง 50% เท่านั้น เรียกได้ว่าการออกมาเดินเล่นช่วยให้สมองเราทำงานได้ไหลลื่นขึ้นจริง
นอกจากการเดินช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคนด้วยแอนนาเบล สตรีตส์ (Annabel Streets) ผู้เขียน The Walking Cure หนังสือที่ชวนให้คิดถึงการเดิน เธออธิบายว่า มนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อเดิน ไม่ใช่แค่เดินเล่นในวันที่อากาศดีเท่านั้น แต่เราจำเป็นต้องเดิน เพราะมันช่วยกระตุ้นการผลิตสารเคมีในร่างกายที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ‘โมเลกุลแห่งความหวัง’ ซึ่งมันช่วยเสริมพลังชีวิต นอกจากนี้ตามทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ว การเคลื่อนไหวกลางแจ้งเคยเป็นกลไกเอาตัวรอด เพราะสมองเราต้องคอยจดจำว่าตำแหน่งที่ตั้ง หรือทิศทางให้ได้ เพื่อหาทางหนีทีไล่เวลาที่เกิดอันตราย ดังนั้นการได้ออกมาเดินเล่น สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวจึงช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้
เดินเล่นอย่างสบายใจด้วยเมืองที่เป็นมิตรกับคนเดินเท้า
แม้จะรู้ว่าการเดินเล่นมีประโยชน์ต่อความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ใช่ว่าทุกเมืองจะเอื้อให้ทุกคนเดินได้จริง เพราะ เมื่อย้อนกลับมามองดูเมืองที่เราอยู่ ที่มักเต็มไปด้วยตึกระฟ้า ไร้พื้นที่หลบแดด หรือถนนที่ให้รถยนต์เป็นใหญ่ สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นอุปสรรคต่อการเดินเท้า แม้จะอยากก้าวขาด้วยตัวเองแค่ไหน แต่ถ้าเจอสภาพแวดล้อมแบบนี้เข้าไป ก็อดใจไม่ไหวที่ต้องเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ทุกที
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะขวางกั้นไม่ให้เราเดินเท้าก้าวออกมาจากบ้านนี่นา แม้จะยอมรับว่าบางครั้งเมืองไม่ได้น่าพิสมัย แต่มนุษย์เราก็ยังจำเป็นต้องเดินอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการออกแบบเมืองหลายๆ แห่งจึงมีแนวคิด ‘เมืองเดินได้’ (Walkable Cities) หรือเมืองที่เป็นมิตรกับคนเดินเท้ามากขึ้น
แนวคิดที่ว่าไม่ได้หมายถึงการกำจัดรถยนต์ออกไปจากเมืองทั้งหมด แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างคนเดินเท้า นักปั่นจักรยาน ระบบขนส่งสาธารณะ และรถยนต์ส่วนตัวอย่างพอดี
หัวใจสำคัญคือการออกแบบให้ผู้คนมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่ต้องพึ่งพาแค่รถยนต์เพื่อเดินทางไปสถานที่ต่างๆ ดังนั้นเมืองที่เดินได้จึงมักพยายามออกแบบให้แหล่งอำนวยความสะดวก เช่น ร้านค้า โรงเรียน ที่ทำงาน หรือขนส่งสาธารณะ สามารถเดินถึงกันได้ภายใน 15 นาที ตัวอย่างเมืองเดินจากทั่วโลก เช่น ฮ่องกง ปารีส ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม หรือโคเปนเฮเกน
ประโยชน์ของเมืองเดินได้ยังเป็นการลดมลพิษที่เห็นผลได้ชัดเจนอีกด้วย เพราะการลดใช้รถยนต์ จะช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ข้อมูลจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) พบว่าขนส่งถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ดังนั้นการลดการใช้รถยนต์นอกจากจะช่วยให้เมืองเย็นลง คุณภาพอากาศดีขึ้น แถมยังช่วยลดเสียงรบกวนจากรถ ซึ่งทำให้คนในเมืองรู้สึกสงบขึ้นได้
เมื่อสภาพแวดล้อมดี ก็ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราเช่นกัน โดยการเปลี่ยนให้เป็นเมืองเดินได้ ยังมีข้อดีอีกหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยบนท้องถนน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนมากขึ้น หรือด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์ หรือช่วยให้ร้านค้าในเมืองค้าขายดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การต่อยอดให้การท่องเที่ยวคึกคักมากขึ้นตาม
จะเห็นว่าการเดินเล่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่คนที่มีอำนาจบริหารต้องให้ความสำคัญ เพราะการออกแบบเมืองให้เหมาะสม อย่างเมืองเดินได้จะช่วยให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้น
มาเดินเล่นในเมืองให้สนุกขึ้นกัน!
เมื่อการเดินเตร็ดเตร่ในเมืองมีข้อดีมากมาย ไม่แปลกที่หลายคนจะตกหลุมรักการกิจกรรมนี้ระหว่างท่องเที่ยวในเมืองต่างๆ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้จักผู้คนและเมืองนั้นได้ง่ายที่สุด
แต่นอกจากการออกไปเดินเล่นในเมืองท่องเที่ยวแล้ว ระแวกบ้านที่เราอาศัยอยู่ก็อาจมีสิ่งน่าสนใจซุกซ่อนอยู่ก็ได้นะ วันนี้เราเลยรวมเคล็ดลับการเดินเล่นจากจอร์แดน ฟิชเชอร์ สมิธ (Jordan Fisher Smith) อดีตเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและผู้เขียนหนังสือ Nature Noir มาฝากสำหรับใครที่อยากเริ่มต้นเดินเล่นในเมืองกัน
เดินช้าๆ: สำหรับบางคนอาจเคยชินกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเร่งรีบ ไหนจะต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน ทำงานเพื่อให้ทันเดดไลน์ หรือเร่งรีบประสบความสำเร็จจนไม่มีเวลาได้อยู่กับตัวเอง แต่การเดินจะช่วยให้เราได้มองสิ่งต่างๆ ช้าลง ได้ฝึกหายใจตามจังหวะที่เท้าลงแต่ละก้าว และดื่มด่ำกับช่วงเวลาตรงหน้าได้มากขึ้น ดังนั้นอย่าลืมเลือกช่วงเวลาที่เราสบายใจ หรือในวันที่อากาศไม่ร้อนเกินไปเพื่อออกไปเดินเล่นกันนะ
เลือกทางเดินที่สะดวกใจ: ข้อดีของการเดินคือเราสามารถเลือกทำเมื่อไหร่ก็ได้ อาจไม่จำเป็นถึงขนาดต้องวางแผนล่วงหน้านาน แต่อาจลองเวลาสั้นๆ หลังเลิกงานเดินออกจากออฟฟิศ เดินเล่นในหมู่บ้าน หรือสำรวจในระแวกบ้านที่ไม่เคยไปมาก่อน ไม่แน่ว่าอาจทำให้เราค้นพบร้านลับๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบก็ได้
เดินเล่นกับคนอื่นๆ: แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกสนุกกับการเดินเล่นคนเดียว เพราะการเดินมันไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนี่นา ดังนั้นหากเราจะลองรวมแก๊ง ชวนเพื่อนรู้ใจมาเดินเป็นเพื่อนกันก็ทำให้การเดินทอดน่องครั้งนี้สนุกไปอีกแบบ นอกจากนี้การพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างเดินก็อาจทำให้เราสังเกตเห็นสิ่งอื่นๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน หรือหากใครมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวต่างเมือง การจองทัวร์เดินกับไกด์ท้องถิ่นก็เป็นอีกทางที่เราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ หรือเมนูอาหารลับๆ จากเจ้าถิ่นด้วยนะ
เตรียมตัวก่อนจะหลงทาง: หากวันไหนตั้งใจจะเดินเล่นในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ก็อาจเป็นไปได้ที่เราอาจจะหลงทางได้ แม้ข้อดีจะทำให้เราได้เจอสิ่งใหม่ๆ แต่การหลงทางก็อาจทำให้เรารู้สึกกังวลได้เหมือนกัน ดังนั้นอย่าลืมศึกษาเส้นทางก่อน เตรียมของที่จำเป็นไว้ เช่น แบตเตอรีสำรอง ขวดน้ำ หรือเงินสดฉุกเฉิน นอกจากนี้อย่าลืมสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยนะ เพื่อให้เรากลับสู่เส้นทางหลักได้อย่างปลอดภัย และได้รับประสบการณ์ดีๆ กลับมา
แล้วถ้าวันไหนมีเรื่องคิดมากจนหนักใจ อย่าลืมออกไปเดินเล่นข้างนอกกันนะ
อ้างอิงจาก