‘ฮาให้สุดแล้วหยุดที่ไอเดียใหม่’ ทำไม ‘นักแกล้ง’ จึงสำคัญกับกลุ่มเพื่อนและที่ทำงาน เมื่อแท้จริงแล้วพวกเขาอาจเป็นนักสร้างสรรค์ขั้นเทพ
เชื่อว่าในบรรดาเพื่อนในกลุ่มของเราหรือในที่ทำงาน จะต้องมีสักคนที่เป็นเช่นนี้เสมอ เอาของประหลาดๆ มาวางบนโต๊ะทำงานเรา แอบเอามือถือของเราไปถ่ายเซลฟีตัวเอง หรือวันดีคืนดีก็ตั้งใจสร้างสถานการณ์แปลกๆ บางอย่างในออฟฟิศแล้วแอบถ่ายวีดิโอรีแอกชันของเราไว้
แม้จะฟังดูเหมือนคนที่มีนิสัย ‘ชอบแกล้ง’ ด้วยบุคลิกที่ดูขี้เล่น สนุกสนาน แต่ก็ยากจะคาดเดา ทำให้บางครั้งหลายคนรู้สึกว่าคนแบบนี้ดูไร้สาระ ไปจนถึงไม่น่าคบสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม หากมองให้ลึกลงไป แท้จริงแล้วคนเหล่านี้แหละ ที่มี ‘พลัง’ สร้างสรรค์ หรือความครีเอตสูงมาก
เพราะเบื้องหลังของความป่วนแบบขำๆ นั้นคือวิธีคิดที่เต็มไปด้วยความแหวกแนว การแก้ปัญหาอย่างสนุกสนาน ไปจนถึงการเปลี่ยนสิ่งปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันที่แสนเรียบง่ายให้กลายเป็นความสนุกสนาน
ในโลกของการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ความคิดสร้างสรรค์มักถูกมองว่าเป็นผลลัพธ์ของ ‘ความจริงจัง’ เฉกเช่นการร่วมมืออย่างเป็นระบบ หรือการวิเคราะห์เชิงลึก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไอเดียสดใหม่บางครั้งก็มาจาก ‘ความไร้สาระ’ เช่น การแกล้ง การเล่นมุก หรือสิ่งที่อาจถูกมองว่าติงต๊อง!
เช่นนั้นแล้ว อย่าเพิ่งรำคาญคนขี้แกล้ง แต่ลองเปิดใจสักนิด แล้วมาดูเหตุผลกันหน่อยว่า ทำไม ‘คนชอบแกล้ง’ ถึงมีความสำคัญในกลุ่ม
คนขี้แกล้งมักคิดนอกกรอบ
คนทั่วไป หากเจอปัญหาก็มักเดินตามลำดับขั้นตอนเสมือนหนังสือคู่มือ เหมือนการคิดเชิงตรรกะที่จะเดินเป็นเส้นตรงตามขั้นตอนที่คาดเดาได้ แต่นักแกล้งจะชอบหา ‘ทางลัด’ หรือวิธีคิดแบบที่คาดไม่ถึง เหมือนวิธีการคิดแบบนอกกรอบ (Lateral Thinking) เพื่อเชื่อมโยงไอเดียที่ดูไม่เกี่ยวกัน เช่น การมองหาวัตถุสองอย่างที่อาจไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมา ‘สร้าง’ เป็นสถานการณ์ตลก หรือการเปลี่ยนความหมายสิ่งของให้ไม่เหมือนเดิม ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้คือหัวใจสำคัญในงานสร้างสรรค์ เพราะการเชื่อมโยงไอเดียที่ต่างกันสุดขั้วสามารถสร้างแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เกิดขึ้นได้
มองสิ่งสามัญในมุมต่าง
นักแกล้งมักไม่มองสิ่งรอบตัวว่าเป็นเพียงสิ่งที่มันเป็น แต่พวกเขาจะมีสายตาและความคิดที่ว่า “เฮ้ย เราจะสามารถทำให้มันแปลก ประหลาด สนุก หรือคาดไม่ถึงได้ยังไงบ้างวะ” ซึ่งมันคือจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ที่เริ่มจากการเห็นสิ่งเดิมๆ ที่ทุกคนเห็น แต่ตีความต่างออกไป มันก็เหมือนการฝึกทักษะแบบการตีความสถานการณ์ใหม่ (Reframing) ที่ถูกใช้ในงานออกแบบ การตลาด หรือการเล่าเรื่อง ที่จะช่วยให้จินตนาการถึงการใช้งาน ฟังก์ชัน ความหมาย และเรื่องราวใหม่ๆ สำหรับสิ่งสามัญธรรมดา
นักท้าทายความจำเจ
มนุษย์เรามักทำสิ่งเดิมซ้ำๆ เป็นกิจวัตรหรือเป็นรูทีน เช่น เข้างานแบบเดิม เดินไปกินข้าวเหมือนเดิม ประชุมแบบเดิม จัดโต๊ะแบบเดิม แม้มันอาจจะช่วยประหยัดเวลาและรวดเร็ว แต่ก็ส่งผลให้ความคิดสร้างสรรค์ทื่อและชะงักได้ง่ายๆ เพราะสมองจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานและหยุดตั้งคำถาม ฟ้าจึงประทานนักแกล้งลงมา เพราะคนเหล่านี้ชอบสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เสมือนเป็นตัวก่อกวนระบบ ที่ทำให้คนหลุดจากความเคยชินเดิม ทำให้สมองถูกกระตุ้นเพื่อกลับมาโฟกัสและเปิดรับไอเดียใหม่อีกครั้ง
โอบรับการเล่นสนุก
แม้นักแกล้งมักถูกมองว่าชอบเล่นอะไรไร้สาระ แต่อย่าลืมว่า การเล่นนี่แหละที่ทำให้สมองเข้าสู่โหมดของการสำรวจ ไม่ใช่โหมดป้องกันตัว และการเล่นสนุกจะช่วยให้สมองหลั่งสารโดปามีนและเอ็นโดรฟิน ที่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายและกล้าลองสิ่งใหม่ เป็นการเปิดสมองให้กับความสามารถในการทดลองสลับไอเดียต่างๆ ได้ยืดหยุ่นขึ้น และบางครั้งการแกล้งสร้างบรรยากาศที่ดูเป็นการเล่น จะทำให้คนรู้สึกว่า ‘ผิดได้’ และ ‘หัวเราะได้’ ซึ่งสภาพแวดล้อมเช่นนี้ จะทำให้คนรอบข้างเกิดความ ‘กล้า’ ในการเสนอไอเดียที่อาจยังไม่สมบูรณ์ แต่อาจนำไปต่อยอดพัฒนาเพิ่มเติมเป็นไอเดียที่ดีได้
นักแกล้งก็คือนักแก้
ในมุมหนึ่ง นักแกล้งก็ไม่ต่างจากนักแก้ (สถานการณ์) เพราะสำหรับบางคน การวางแผนเพื่อจะแกล้งไม่ใช่แค่เรื่องของความตลกโปกฮา แต่มันอาศัยการคิด การออกแบบสถานการณ์ การคาดการณ์ปฏิกิริยา และการปรับแผนเมื่อไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งทักษะนี้สามารถปรับใช้กับการทำงานสร้างสรรค์ที่ต้องคิดเผื่อหลายทาง และมีความยืดหยุ่นสูงได้
คนชอบแกล้งอาจไม่ได้เป็นแค่นักสร้างเสียงหัวเราะ แต่เป็นผู้ ‘ปลดล็อก’ บรรยากาศที่ผ่อนคลายได้อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งจะนำมาสู่การเปิดสายตาและมุมมองใหม่ๆ ที่ทำให้คนรอบข้างได้ ‘คิด’ ในสิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรือ ‘เห็น’ สิ่งเล็กๆ ที่เคยมองข้าม ระวังให้ดี วันนี้มีใครแกล้งคุณหรือยัง…