รู้สึกเหมือนเป็น ‘คนนอก’ ที่มีเพื่อนเยอะแต่ไม่สนิท? สัญญาณว่าคุณคือ Otrovert คนเปิดเผย แต่ไม่เปิดใจ
อยู่ท่ามกลางคนมากมายแต่ยังรู้สึก ‘แปลกแยก’…นี่คือความในใจของ Otrovert
.
สังคมเรามักจะคุ้นเคยกับ Introvert หรือ Extrovert ตามแนวคิดของคาร์ล ยุง ซึ่งเป็นคำอธิบายตัวตน นิสัย ทิศทางการใช้พลังงานและความสนใจของผู้คนมากกว่า โดย Introvert มักจะสนใจและชอบเติมพลังงานให้ตัวเองด้วยการอยู่กับตัวเองเงียบๆ ในขณะที่ Extrovert มักจะมีความสนใจและชอบเติมพลังงานให้ตัวเองด้วยการอยู่กับโลกภายนอก
.
แต่ด้วยระดับความเหงาที่เพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสังคมในโลกยุคใหม่ จิตแพทย์ได้พบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Otrovert’ หรือทิศทางความสนใจที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องมาจากความรู้สึก ‘แปลกแยก’ จากกลุ่มสังคม และรู้สึกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนรอบข้าง
.
ทั้งที่ชื่นชอบบรรยากาศของโลกภายนอก และการได้อยู่ท่ามกลางผู้คน รวมถึงกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนไม่ต่างกับ Extrovert แต่ความรู้สึกแปลกแยก ไม่สามารถเข้ากันได้ดีกับสังคมรอบข้าง กลับทำให้ Otrovert เลือกที่จะอยู่คนเดียว
.
นี่จะทำให้ความเหงากัดกินหัวใจของผู้คนในสังคมมากขึ้นหรือไม่? แล้วเราจะรู้เท่าทันอารมณ์เหงาได้อย่างไร?
.
.
ความแปลกแยกที่สร้าง ‘คนนอก’ ในโลกยุคใหม่ให้เรา
.
ตามแนวคิดของคาร์ล ยุง หรือนักจิตยุคบุกเบิกได้เกิดคำแสดงตัวตนและบุคลิกภาพที่เราต่างก็คุ้นเคยขึ้นหลายคำด้วยกัน อย่าง Introvert ที่มีความหมายถึงคนที่มีความสนใจและมีแหล่งพลังงานโดยเน้นไปที่ภายใน หรือเน้น ‘ตัวเอง’ เป็นหลัก และ Extrovert ที่หมายถึงคนที่มีความสนใจและมีแหล่งพลังงานโดยเน้นไปที่ภายนอก หรือเน้นการเชื่อมต่อกับ ‘ผู้คนและสถานที่อื่นๆ’
.
แต่เมื่อไม่นานมานี้ นายแพทย์รามิ คามินสกี้ (Rami Kaminski, M.D.) จิตแพทย์ชาวอเมริกัน เขาได้พบเจอกับคำแสดงบุคลิกภาพใหม่ที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิม และคาดว่าแรงขับสำคัญที่ทำให้เกิดคำใหม่นี้ก็คือสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนส่งผลกระทบถึงชีวิตและจิตใจของผู้คน ซึ่งคำใหม่ที่ว่านี้ก็คือ Otrovert
.
Otrovert หมายถึงลักษณะพื้นฐานของคนที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมไหนๆ และมีทิศทางความสนใจ รวมถึงแหล่งพลังงานที่ไม่เหมือนใคร
.
หลายคนใช้ชีวิตโดยคิดเอาเองว่าการไม่สนใจปาร์ตี้หรืองานสังคมต่างๆ หมายความว่าพวกเขาเป็น Introvert ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาอาจจะเป็น Otrovert แต่ไม่รู้ตัวก็ได้ โดย Otrovert จะแตกต่างจาก Introvert ในหลายๆ เรื่อง เช่น
.
Introvert มักจะมีนิสัยชอบเก็บเนื้อเก็บตัว ชอบอยู่เงียบๆ และชอบบรรยากาศที่สงบ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนแรกที่กล้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
.
ในทางกลับกัน คนกลุ่ม Otrovert ถ้ามองจากภายนอก ก็จะมีทั้งบุคลิกที่ร่าเริง สดใส และเข้ากับคนอื่นได้ง่าย สามารถใช้เวลาสังสรรค์และพูดคุยกับคนแปลกหน้าในผับ หรือแลกเปลี่ยนบทสนทนากับผู้คนอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานานๆ ได้โดยไม่ต้องขอตัวกลับก่อนเพื่อชาร์จพลังงานอยู่คนเดียวแบบ Introvert
.
แต่ในหลายครั้ง Otrovert กลับมีความคิดที่เข้าใจได้ยาก และในบางครั้งก็ดูไม่ค่อยเข้าพวกกับเพื่อนฝูง หรือกลุ่มทางสังคมอื่นๆ เสียทีเดียว กลายเป็นภาพความขัดแย้งที่ไม่ได้มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่สับสน แต่ Otrovert เองก็ยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง และวางตัวไม่ถูกในบางครั้งเช่นกัน
.
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ Otrovert ซึ่งอยู่กับใครก็ได้กลับเลือกที่จะแยกตัวออกมาอยู่คนเดียวนั่นก็เพราะความรู้สึกที่เหมือนเป็น ‘คนนอก’ ของกลุ่มสังคม พวกเขาไม่ได้แยกตัวออกมาเพื่อชาร์จพลังงาน หรือสำรวจโลกท่ามกลางความสงบเงียบ แต่พวกเขาต้องการหลีกหนีความเหงา และความรู้สึกที่ถึงจะอยู่กับคนมากมาย แต่กลับไม่สนิทใจกับใครสักคนเลยต่างหาก
.
ด้วยเหตุนี้ ตัวตนของ Otrovert อาจสวนทางกับความคาดหวังของสังคม แล้วทำให้เกิดความกดดันที่ยิ่งสร้างความแตกต่าง ไม่เข้าพวก และแปลกแยกจากผู้คนให้กับ Otrovert ได้ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และเรามักคาดหวังให้คนอื่นๆ ยอมรับในตัวเราด้วย เช่น พ่อแม่ที่พยายามผลักดันให้ลูกกล้าแสดงออก เข้าสังคมให้มากขึ้น หรือการที่คุณครูมองว่าเด็กนักเรียนที่เข้ากับเพื่อนไม่ได้เป็นปัญหาที่ต้องจัดการนั่นเอง
.
พ่อแม่ที่เห็นว่าลูกเข้ากับสังคมไม่ได้ หรือเลือกที่จะอยู่คนเดียวเพราะความรู้สึกแปลกแยกก็จะยิ่งเป็นกังวล และกดดันให้ลูกเข้าสังคมมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เมื่อคน Extrovert เจอกับ Otrovert ก็มักจะพยายามดึงหรือผลักดันให้เพื่อนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ของกลุ่มมากขึ้นด้วย เพราะเข้าใจว่าเพื่อนอาจจะมีความต้องการเหมือนตัวเอง
.
ซึ่งนี่อาจจะสร้างความกดดันและยิ่งทำให้ Otrovert รู้สึกเป็น ‘คนนอก’ ที่ไม่เชื่อมโยงกับคนรอบตัวมากยิ่งขึ้น
.
.
เข้าใจความคิดของ Otrovert ผู้สังเกตการณ์โลกทั้งใบอยู่รอบนอกของวงสังคม
.
เอมิลี่ ดิกคินสัน (Emily Dickinson) นักกวีชื่อดังชาวอเมริกันเคยกล่าวไว้ว่า “จิตวิญญาณเลือกสังคมของตัวเอง” หรือการที่เรามีสิทธิ์เลือกสังคมด้วยตัวเองนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หลายครั้งที่เรารู้กันดีว่ามนุษย์ไม่มีสิทธิ์เลือกทุกอย่างด้วยตัวเองมากขนาดนั้น
.
สำหรับบางคนแล้ว สังคมและคนแวดล้อมไม่ได้มาจากการเลือกด้วยตัวเอง แต่เป็นผลพวงจากสิ่งที่มีอยู่ก่อนเราเกิดมา เช่น สถานที่ที่เราอยู่ ครอบครัว ศาสนา ชนชั้นทางสังคม หรือเชื้อชาติที่เราเป็น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนเรามักจะยอมรับและปรับตัวกับพื้นฐานเหล่านี้ไปเอง แต่คนแบบ Otrovert ไม่ได้คิดอย่างนั้น
.
พวกเขาไม่เชื่อในกลุ่มคนที่รวมตัวกันจากแนวคิดนามธรรมหรือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ อุดมการณ์ เชื้อชาติ หรือศาสนา และจะไม่ทุ่มเทพลังงานให้กับความสัมพันธ์ที่รวมตัวขึ้นมาโดยไร้เป้าหมายที่ชัดเจน หรือกลุ่มที่รวมตัวกันแค่เพราะคนหมู่มากปฏิบัติเหมือนกันเท่านั้น
.
อย่างไรก็ตาม Otrovert ที่มักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘คนนอก’ และไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มทางสังคมอยู่บ่อยๆ ก็ยังต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้คน เพียงแต่อาจจะต้องการในระดับที่ลึกซึ้ง และมีเป้าหมายร่วมกันที่ชัดเจนมากกว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง เพราะการรวมกลุ่มก็ยังคงเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
.
แล้วสาเหตุอะไรที่ทำให้ Otrovert ในโลกยุคใหม่ถือกำเนิดมากขึ้น? มาทำความเข้าใจความคิด และวิธีที่จะช่วยให้ Otrovert สื่อสารต่อโลกได้ดี พร้อมกับเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถเข้ากันได้กับผู้คนไปพร้อมกัน
.
.
[ ] ความคิดแบบรังผึ้ง (Hive Mind) และความคิดสร้างสรรค์
.
การที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และอยู่รอดปลอดภัยจากสัตว์นักล่ามาจนถึงทุกวันนี้ได้เป็นเพราะเกิดความร่วมมือกัน ซึ่งการสร้างองค์กรทางความคิด หรือภูมิปัญญาร่วมนี้ทำให้คนจำนวนมากมีความเชื่อแบบเดียวกัน และมักจะกีดกันคนที่เห็นต่าง หรือมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกันออกจากกลุ่มไป
.
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่มีร่วมกัน หรือคล้ายกัน ทำให้เราสามารถที่จะเรียนรู้วิธีปรับตัวเพื่อให้เข้ากับกลุ่ม และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมได้ดี อย่างไรก็ตาม ยิ่งกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีสมาชิกของสังคมเพิ่มมากขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้มากขึ้นด้วย ทำให้บางครั้ง ความต้องการนี้ก็อาจกลืนกินความเป็นตัวตนของคนคนหนึ่งไปได้
.
ซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ก็อาจจะยอมเสียสละตัวเอง เพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของฝูงผึ้งขนาดใหญ่นี้ แต่ Otrovert จะไม่ค่อยไหลตามให้กับอะไรที่ไร้เหตุผล รวมถึงไม่ค่อยทำอะไรที่ ‘คนส่วนใหญ่เขาทำกัน’
.
เรื่องนี้อาจจะรวมตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเช่นการไหลตามเทรนด์บนโซเชียลฯ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่น ค่านิยม อุดมการณ์ หรือการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วย ยิ่งหากใครกล้าแสดงความคิดเห็นมากเท่าไร ก็อาจจะยิ่งสร้างความขัดแย้งขึ้นในกลุ่มเพื่อน ที่ทำงาน หรือคอมมูนิตีต่างๆ ได้
.
ดังนั้นการรวมกลุ่มของ Otrovert จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อค่านิยม ความเชื่อ หรือไลฟ์สไตล์ที่กลุ่มนั้นยึดถือร่วมกันมีเหตุผล และมีความสร้างสรรค์มากพอ ไม่ใช่แค่ทำตามที่คนอื่นทำเท่านั้น
.
.
[ ] การไม่สังกัดกลุ่ม (Non-belonging)
.
Otrovert ไม่ใช่คนที่มีนิสัยเก็บตัว พวกเขาอาจจะเป็นคนที่ยิ้มง่าย พูดคุยและอยู่กับคนมากมายได้เป็นระยะเวลานาน กล้าหาญ กล้าแสดงออก เพียงแต่จะไม่ยอมรับค่านิยมของการเป็น ‘ส่วนหนึ่งของกลุ่ม’ (Belonging) กับใครง่ายๆ
.
การเห็นพ้องกับคนหมู่มากโดยไม่ตั้งคำถามหรือไม่หาเหตุผลไม่ใช่วิสัยของ Otrovert และพวกเขายอมที่จะเดินออกมาจากกลุ่มนั้นมากกว่าที่จะต้องยอมเห็นพ้องต้องกันกับเสียงข้างมาก ยึดมั่นในภูมิปัญญาส่วนรวม หรือประสบการณ์ที่สืบทอดกันมา
.
อย่างไรก็ตาม หากมีใครสักคนที่ได้รับการยอมรับจาก Otrovert นั่นอาจหมายความว่านั่นอาจเป็นคำพูด ความเชื่อ หรือแนวคิดที่ฉลาด มีหลักการ และตรงกับความจริงในความรู้สึกของพวกเขาก็ได้
.
.
[ ] ความคิดอิสระและความคิดริเริ่ม
.
จุดแข็งและข้อดีของ Otrovert คือพวกเขาไม่ตกอยู่ใต้ภาพลวงทางสังคม ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความคิดที่เห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีการตั้งคำถาม ซึ่งนี่เป็นเรื่องดีที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
.
คนประเภท Otrovert มักจะเป็นนักคิดที่มีความคิดริเริ่ม มองเห็นสิ่งที่คนอื่นอาจจะมองข้ามไป และไม่ถูก ‘ความคิดของกลุ่ม’ บังตา กล้าพิจารณาหาทางเลือกอื่นๆ ตีความปัญหาและชีวิตในแบบที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังกล้าที่จะคิดนอกกรอบ หรือทำลายขนบเดิมๆ อีกด้วย
.
แม้ว่าไอเดียของคนกลุ่มนี้จะดูสุดโต่ง และถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของคนส่วนใหญ่ไปบ้าง แต่นี่กลับเป็นเรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักคิดที่มีความคิดริเริ่มอย่างแท้จริงแทบทุกคนในประวัติศาสตร์ ทั้งคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คนที่เราบางคนอาจจะพอคุ้นหู รวมถึงคนที่เลือนหายไปตามกาลเวลาแล้ว
.
.
แนวคิดที่เกิดจากความคิดแบบ Otrovert มีความเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่คิดขบถ นอกรีต หรือแม้กระทั่งบ้าสุดโต่ง แม้ว่าพวกเขาจะงัดหลักฐานที่สมเหตุสมผล และเป็นทางเลือกใหม่ที่มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนก็ตาม
.
แต่เมื่อเราเปิดใจ ทำความเข้าใจ และสร้างความตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้ เราจะสามารถเปิดโอกาสและให้พื้นที่สำหรับ Otrovert รวมถึงความหวัง และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เรากำลังเผชิญกับความท้าทาย ที่ต้องตั้งคำถามกับความไม่สมเหตุสมผลมากมายอย่างในยุคนี้
.
เพราะการตั้งคำถามกับความเชื่อและค่านิยมแบบเดิมๆ คิดพิจารณาปัญหาจากมุมมองใหม่ๆ และเปิดใจรับวิธีแก้ปัญหาที่แหวกแนว วิธีคิดแบบ Otrovert อย่างนี้ก็มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้เช่นกัน
.
.
อ้างอิง
- Don’t like joining in? Why it could be your superpower: Rami Kaminski, The Guardian - http://bit.ly/45yhiwh
- “Otroverts” and why nonconformists often see what others can’t: Rami Kaminski, Big Think - http://bit.ly/3HBV8A5
.
.
#otrovert
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast