โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

Eggshell Economy เมื่อคนทำงานจิตใจเปราะบาง กลัวผิดพลาดแล้วหางานใหม่ยาก

Mission To The Moon

เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Mission To The Moon Media

ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการสภาพเศรษฐกิจ สงครามภาษี เทคโนโลยี ค่านิยมของคนทำงานที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงค่าครองชีพในชีวิตประจำวัน
.
ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นถูกจัดอันดับเป็นเทรนด์ที่มีผลกระทบมากที่สุดเป็นอันดับสอง โดย 50% ของนายจ้างคาดว่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจภายในปี 2030
.
การเข้าถึงเทคโนโลยีที่กว้างขึ้นอย่างรวดเร็วคาดว่าจะเป็นเทรนด์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดย 60% ของนายจ้างคาดว่าจะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของพวกเขาภายในปี 2030 โดยเฉพาะ AI และระบบ Automation ที่สร้างความกังวลเรื่องความมั่นคงในอาชีพของตัวเอง
.
นอกจากนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นแรงและหลายบริษัทเลือกชะลอการรับคนใหม่ การย้ายงานกลายเป็นเกมที่ยากกว่าที่เคย หลายคนต้องสมัครงานเป็นสิบเป็นร้อยครั้งกว่าจะได้โทรกลับจริงๆ รายงานล่าสุดสะท้อนภาพนี้ชัดเจนว่า “มากกว่าครึ่ง” ของพนักงานที่เพิ่งถูกเลิกจ้างต้องยื่นใบสมัครเกิน 50 ครั้ง และ หนึ่งในห้า ต้องส่งมากกว่า 100 ครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะได้งานใหม่
.
ซึ่งตัวเลขที่บอกเราว่าโอกาสข้างนอกไม่ได้เปิดกว้างเท่าเมื่อก่อนอีกต่อไป
.
ผลข้างเคียงคือคนที่ยังมีงานอยู่เริ่ม “รู้สึกถึงความเสี่ยงและหวาดกลัว” มากขึ้น ส่งผลให้ไม่กล้าบ่น ไม่กล้าลองอะไรที่อาจพลาด และหันไปโฟกัสการ “ทำให้เห็นว่าเรากำลังทำงาน” มากกว่าคุณค่าที่งานสร้างจริงๆ โดยนักวิจัยด้าน HR ได้บัญญัติปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นมา โดยใช้คำว่า "Eggshell Economy" ซึ่งคำนี้ถูกใช้อธิบายสภาวะที่พนักงานต้องเดินบนเปลือกไข่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปราะบางและอ่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
.
.
Eggshell Culture คนทำงานเปราะบางขึ้นอย่างไรบ้าง?
.
ปี 2025 ดูจะเป็นปีที่คนทำงาน “เดินบนเปลือกไข่” มากกว่าเดิม เศรษฐกิจผันผวน คล้ายราคาสินค้าจำเป็นที่ขึ้นลงไม่แน่นอน บรรยากาศในที่ทำงานจึงเปราะบางง่ายเป็นพิเศษ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาพลาดหรือพูดผิดนิดเดียวก็เสี่ยงกระทบภาพลักษณ์หรือโอกาสในอาชีพในระยะยาวได้เลย
.
จากรายงานชุดใหม่ของ BambooHR ช่วยให้เห็นภาพนี้ชัดขึ้น ตั้งแต่ความพึงพอใจในงาน ไปจนถึงมารยาทเล็กๆ น้อยๆ ภายในออฟฟิศจนถึงบนโซเชียลมีเดีย โดยทีมวิจัยสำรวจพนักงานประจำมากกว่า 1,500 คน เพื่อดูว่า “พวกเขารู้สึกอย่างไร” และ “ปรับตัวอย่างไร” ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ผันผวนเช่นนี้
.
1. การทำให้ตัวเอง "ถูกมองเห็น" มากขึ้น
73% ของพนักงานทำงานอย่างแข็งขันเพื่อให้แน่ใจว่าผลงานของพวกเขามองเห็นได้ชัดเจนต่อทั้งทีม นี่ไม่ใช่แค่การทำงานหนัก แต่เป็นการทำงานแบบ "ต้องให้คนอื่นเห็น" ตั้งแต่การอัปเดตสถานะบ่อยขึ้น การส่งอีเมลในช่วงเวลาที่ทุกคนออนไลน์ ไปจนถึงการพูดในที่ประชุมเพื่อยืนยันการมีส่วนร่วม
.
2. การสร้าง "เกราะป้องกันตัว"
46% เก็บบันทึกโครงการอย่างละเอียดเพื่อปกป้องเครดิตของตนเอง พนักงานเริ่มสร้างระบบเอกสารที่ซับซ้อนเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตนเอง ขณะที่ 53% ถึงขั้นสร้าง "กำแพงงาน" หรือนำความรับผิดชอบต่องานหลายๆ อย่างมาไว้ที่ตัวเองเยอะๆ เพื่อที่ทำให้การส่งต่องานคนอื่นที่ต้องมารับช่วงต่อเป็นเรื่องยาก
.
ทั้งนี้ แม้ว่ากลยุทธ์นี้ดูเผินๆ เหมือนจะทำให้พนักงานคนนั้นดูมีความสำคัญและมีคุณค่า แถมช่วยรักษาตำแหน่งได้เป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกัน วิธีนี้อาจทำให้องค์กรขาดความคล่องตัวไปพอสมควรเนื่องจากงานหลายๆ อย่างจะมากระจุกเอาไว้ที่พนักงานเพียงคนเดียว
.
3. ระวังคำพูดมากขึ้น
52% ของพนักงานระมัดระวังการสนทนาเรื่องต่างๆ ในที่ทำงานมากขึ้น เนื่องจากความอ่อนไหวทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2025 นี้
.
ซึ่งความกลัวที่จะพูดผิดทำให้วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดเผยค่อยๆ หายไป หลายคนที่เคยแสดงความคิดเห็นก็เงียบลงไป เริ่มไม่กล้าพูดอะไรอย่างอิสระเหมือนเดิม แถมยังระวังการเล่นมุกในที่ทำงานมากขึ้น เพราะบรรยากาศการเมืองและความอ่อนไหวของประเด็นสาธารณะ
.
นอกจากนี้ ยังมีสถิติอีกเล็กน้อยที่บ่งบอกว่าคนทำงานนั้นพยายามจะ “กอดงาน” ของตัวเองเอาไว้ให้แน่น ไม่ว่าจะเป็น
[ ] 84% ยังบอกว่าพอใจกับงานในปี 2024 โดยเหตุผลหลักที่ทำให้อยู่ต่อคือ สมดุลชีวิต–การทำงาน
[ ] 54% ไม่ได้สมัครงานใหม่เลยตลอดปี สวนทางคาดการณ์ว่าหลัง “Great Resignation” คนจะออกหางานกันมาก
.
.
สัญญาณเตือนว่าองค์กรกำลังเข้าสู่โหมด Eggshell
.
การวินิจฉัยว่าองค์กรกำลังเข้าสู่วัฒนธรรม Eggshell หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมักจะค่อยๆ ซึมซับเข้ามาอย่างเงียบๆ ผ่านพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจดูเหมือนปกติ แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับสร้างบรรยากาศที่อึดอัดและขาดประสิทธิภาพ
.
หลายองค์กรอาจกำลังอยู่ในสภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว เพราะตัวเลขอัตราการลาออกที่ต่ำอาจทำให้ผู้บริหารเข้าใจผิดว่าพนักงานมีความสุขและผูกพันกับองค์กร แต่ความจริงแล้ว มันอาจเป็นเพียงการ "จำยอม" ที่เกิดจากการขาดทางเลือก มากกว่าความพึงพอใจที่แท้จริง
.
ลองสำรวจองค์กรของคุณผ่านสัญญาณเตือนเหล่านี้หรือไม่?
.
1. โฟกัสที่ "หิวแสง" มากกว่า "ผลลัพธ์"
เมื่อพนักงานเริ่มให้ความสำคัญกับการ "ทำให้เห็นว่าทำงาน" มากกว่า "ทำงานให้ได้ผล" องค์กรจะเริ่มเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ เช่น พนักงานออนไลน์ตลอดเวลา อีเมลส่งดึกดื่น การประชุมที่ถี่ขึ้นแต่ไร้ประสิทธิภาพ และการอัปเดตสถานะที่ละเอียดจนเกินจำเป็น ขณะที่เป้าหมายทางธุรกิจหรือยอดขายที่แท้จริงกลับไม่ขยับเลย
.
2. ความคิดเห็นในห้องประชุมหายไป
ห้องประชุมที่เคยมีการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ กลายเป็นพื้นที่แห่งความเงียบ ผู้คนเลือกที่จะพูด "ครับ/ค่ะ" มากกว่าการตั้งคำถามหรือท้าทายไอเดีย การนำเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างถูกมองว่าเสี่ยง ทุกคนเลือกพูดแต่เรื่อง "ปลอดภัย" ที่ไม่กระทบกระเทือนใคร
.
3. ระบบงานที่ "ยึดติดกับตัวคน"
พนักงานเริ่มสร้างระบบงานที่ซับซ้อนเกินความจำเป็น เอกสารมีรายละเอียดมหาศาล แต่กลับออกแบบมาให้คนอื่นเข้าใจยาก ราวกับต้องการสร้าง "ความจำเป็น" ของตนเองในองค์กร นี่คือการสร้างความมั่นคงแบบผิดๆ ที่ทำให้องค์กรขาดความคล่องตัว
.
4. การสะสมหลักฐานส่วนตัว
เมื่อความไว้วางใจหายไป พนักงานเริ่มเก็บบันทึกทุกอย่างไว้กับตัว ตั้งแต่อีเมล ข้อความ ไปจนถึงบันทึกการประชุม ไม่ใช่เพื่อการทำงานที่ดีขึ้น แต่เพื่อ "ป้องกันตัว" หากมีอะไรผิดพลาด พวกเขาต้องการหลักฐานว่าไม่ใช่ความผิดของตน
.
แล้วเราจะหลุดจากวัฒนธรรมแบบ Eggshell Economy นี้ได้อย่างไร?
.
การแก้ไขปัญหา Eggshell Economy ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน และไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกองค์กร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้จัดการ หรือพนักงานทุกระดับ
.
ที่สำคัญคือ เราต้องเข้าใจก่อนว่าวัฒนธรรม Eggshell ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจร้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นผลพวงจากความกลัวและความไม่แน่นอนที่ทุกคนต่างเผชิญ ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืนจึงต้องเริ่มจากการสร้างความไว้วางใจและความมั่นคงทางจิตใจกลับคืนมา
.
องค์กรที่จะหลุดพ้นจากวงจร Eggshell ต้องกล้าที่จะปล่อยวางการควบคุมแบบเดิมๆ และหันมาสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
.
1. สร้างกติกาที่ชัดเจนและโปร่งใส
ความไม่ชัดเจนคือศัตรูตัวฉกาจของความมั่นใจ เมื่อพนักงานไม่แน่ใจว่าอะไรคือความคาดหวังที่แท้จริง พวกเขาจะใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการ "เดาใจ" แทนที่จะทุ่มเทกับงาน องค์กรต้องกำหนด Definition of Done ที่ชัดเจน ระบบการให้เครดิตที่เป็นธรรม และขอบเขตการสื่อสารที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน เมื่อกติกาชัด ความวิตกกังวลจะลดลง และพนักงานจะกล้าที่จะเสี่ยงและสร้างสรรค์มากขึ้น
.
2. ปรับเปลี่ยนตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ที่แท้จริง
ถึงเวลาที่ต้องทิ้งตัวชี้วัดแบบ "Theater Metrics" ที่วัดแต่การแสดง เช่น เวลาออนไลน์ ความเร็วในการตอบแชต หรือจำนวนชั่วโมงที่นั่งโต๊ะ แล้วหันมาโฟกัสที่ผลกระทบต่อธุรกิจ คุณภาพของงาน และการบรรลุเป้าหมายที่วัดได้จริง เมื่อพนักงานรู้ว่าพวกเขาถูกประเมินจากคุณค่าที่สร้าง ไม่ใช่การแสดงละคร พวกเขาจะหยุดการแสดงและหันมาทำงานจริง
.
3. สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเรียนรู้
"Psychological Safety" แต่เป็นรากฐานของนวัตกรรม นำระบบ Feedback แบบ SBI (Situation-Behavior-Impact) มาใช้เพื่อแยกการวิจารณ์พฤติกรรมออกจากตัวบุคคล จัดเวทีทดลองไอเดียขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงจำกัด ให้พนักงานได้ลองผิดลองถูกภายใต้กรอบที่ปลอดภัย
.
.
แนวทางสำหรับพนักงาน “เรียนรู้ที่จะสร้างคุณค่ามากกว่าการป้องกันตัว”
.
พนักงานเองก็มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร การรอให้องค์กรเปลี่ยนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ พนักงานต้องกล้าที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง
.
1. สร้างระบบงานที่ส่งต่อได้
ความมั่นคงที่แท้จริงไม่ได้มาจากการทำตัวเองให้ "ขาดไม่ได้" แต่มาจากการสร้างคุณค่าที่ชัดเจนและส่งต่อได้ แทนที่จะสร้าง "กำแพงงาน" ให้พัฒนาระบบเอกสารที่ชัดเจน Knowledge Management ที่ดี และกระบวนการทำงานที่คนอื่นสามารถเข้าใจและต่อยอดได้ เมื่อคุณค่าของคุณมองเห็นได้ผ่านระบบ ไม่ใช่การยึดติดกับตัวบุคคล คุณจะมีอำนาจต่อรองและโอกาสเติบโตมากขึ้น
.
2. โฟกัสที่ผลกระทบ ไม่ใช่กิจกรรม
เปลี่ยนแนวคิดในการทำงานจาก "ฉันทำอะไรบ้าง" เป็น "ฉันสร้างผลกระทบอะไร" แทนที่จะรายงานว่าเข้าประชุมกี่ครั้ง ส่งอีเมลกี่ฉบับ ให้เล่าว่างานของคุณช่วยเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน หรือปรับปรุงกระบวนการอย่างไร เชื่อมโยงทุกกิจกรรมกับเป้าหมายธุรกิจอย่างชัดเจน เมื่อผู้บริหารเห็นผลกระทบที่แท้จริง ความจำเป็นในการ "หิวแสง" จะหายไปเอง
.
3. พัฒนาทักษะที่ตอบโจทย์อนาคต
ความมั่นคงในอาชีพไม่ได้มาจากการยึดติดกับตำแหน่งปัจจุบัน แต่มาจากความสามารถในการปรับตัว ภายในปี 2027 ธุรกิจคาดการณ์ว่าเกือบครึ่ง (44%) ของทักษะหลักของพนักงานจะถูกกระทบ การลงทุนในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Hard Skills และ Soft Skills โดยเฉพาะทักษะที่ AI ทำแทนได้ยาก เช่น Critical Thinking, Creativity, และ Emotional Intelligence คือการสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนที่สุด
.
.
ก้าวข้ามความกลัว สู่การเติบโตร่วมกัน
.
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม Eggshell ต้องเริ่มจากการยอมรับว่า ทุกคนต่างมีความกลัวและความไม่มั่นคงของตนเอง ผู้บริหารกลัวธุรกิจล้มเหลว ผู้จัดการกลัวถูกประเมินว่าไร้ความสามารถ พนักงานกลัวตกงาน แต่เมื่อทุกคนต่างสร้างเกราะป้องกันตัว องค์กรก็จะกลายเป็นสนามรบแทนที่จะเป็นทีม
.
ฉะนั้น การสร้างวัฒนธรรมที่ยั่งยืนจึงต้องเริ่มจากการสร้างความไว้วางใจทีละก้าว ผ่านการสื่อสารที่เปิดเผย กติกาที่ชัดเจน และการให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ เมื่อทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเอง กล้าที่จะเสี่ยง และได้รับการสนับสนุนเมื่อล้มเหลว องค์กรจะค่อยๆ เปลี่ยนจาก "เปลือกไข่" เป็น "พื้นที่แห่งการเติบโต" ที่ทุกคนสามารถเบ่งบานได้อย่างเต็มศักยภาพ
.
.
อ้างอิง
- Welcome to the ‘eggshell economy’: How HR can navigate a workforce in survival mode : Tony Case, Worklife - https://bit.ly/45kCqWO
- Welcome to the Eggshell Economy: America's Workforce in Survival Mode : BambooHR - https://bit.ly/4mCJ68i
.
.
#EggShellEconomy
#Worklife
#การทำงาน
#สังคม
#เศรษฐกิจ
#Trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Mission To The Moon

วิจัยเผย Gen Z เกือบครึ่งยอมรับว่า เคย “โกหกและตกแต่งเรซูเม่” ให้ดูดีเกินจริง

14 ส.ค. เวลา 05.30 น.

MIT เผย AI ทำคนสมองฝ่อจริง! โดยคนใช้ ChatGPT ฝ่อหนักสุด และที่น่าห่วงกว่าคือ ‘เด็กรุ่นใหม่’

11 ส.ค. เวลา 10.38 น.

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

เปิด '4 เมกะเทรนด์โลก' พลิกวิกฤติสู่โอกาสครั้งใหญ่ของไทย

กรุงเทพธุรกิจ

Kylie Jenner และ Timothée Chalamet ยังคงรักกันดี แม้ไม่ได้พบกันมาหลายสัปดาห์แล้ว

THE STANDARD

ถึงว่าล่ะหายไปไหน iShowSpeed โพสต์คลิป โปรโมตสตรีมทั่วอเมริกา โปรดักชันดีจัด เหมือนตัวอย่างหนังเลย

CatDumb

Swifties เริ่มคาดเดาว่า Taylor Swift จะแสดงงาน Super Bowl Halftime Show 2026

THE STANDARD

ใครคือผู้คนดั้งเดิมย่านเสาชิงช้า? 4 กลุ่มคนในย่านเก่า ศูนย์กลางศาสนาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ศิลปวัฒนธรรม

เพาเวอร์บาย เปลี่ยนจอทีวีเป็นแกลเลอรี่สุดอบอุ่น ในนิทรรศการ “Power of Art by Power Buy x Artstory”

สยามรัฐ

6 พฤติกรรมเสี่ยง “ความดันสูงเรื้อรัง” ที่ผู้ชายต้องระวัง พร้อมแนะนำวิธีแก้!

sanook.com

อลังการงานดีไซน์ “ชุดประจำชาติ” มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2025

สยามรัฐ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...