"ทวี" ดัน พ.ร.บ.ล้มละลายใหม่ ปฏิรูปจากโทษสู่ฟื้นฟู ช่วยทั้งธุรกิจ-ประชาชน
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ …) พ.ศ. … กล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาวิชาการร่วมสมัย ครั้งที่ 4 จัดโดยสถาบันพระปกเกล้า โดยย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.ล้มละลายฉบับใหม่ไม่ใช่เพียงการแก้ถ้อยคำกฎหมาย แต่เป็น “การปฏิรูปโครงสร้าง” ครั้งสำคัญ เพื่อเปลี่ยนแนวคิดจากการลงโทษไปสู่การฟื้นฟูทั้งภาคธุรกิจและประชาชน
รมว.ยุติธรรม เปิดเผยตัวเลขน่าห่วงว่า หนี้ในระบบบังคับคดีกว่า 18 ล้านล้านบาท บวกกับคดีล้มละลายอีกกว่า 7.8 ล้านล้านบาท รวมสูงถึง 25 ล้านล้านบาท หรือราว 8 เท่าของงบประมาณประจำปีประเทศ ตัวเลขนี้สะท้อนภาวะเปราะบางทางเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วน โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านการพิจารณากมธ.แล้ว 23 ครั้ง และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาวาระ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 กันยายนนี้
ขยายการฟื้นฟูจากธุรกิจใหญ่สู่ SME และประชาชน
พล.ต.อ.ทวี ระบุว่า กลไกฟื้นฟูในปัจจุบันช่วยให้บริษัทใหญ่ เช่น สายการบิน โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ สามารถปรับโครงสร้างหนี้และกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่ SME ซึ่งมีมากกว่า 3.2 ล้านราย กลับเข้าไม่ถึงกลไกดังกล่าว ร่างกฎหมายใหม่จึงเปิดทางให้ SME เข้าสู่การฟื้นฟูได้ง่ายขึ้น โดยมีมาตรการสำคัญ เช่น การพักชำระหนี้อัตโนมัติ (Automatic Stay) และเปิดโอกาสให้ศาลอนุมัติแผนแม้ไม่ได้เสียงครบ หากเห็นว่าเป็นธรรมและสมเหตุสมผล
นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยัง “ขยายสู่บุคคลธรรมดา” เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ข้าราชการ หรือผู้มีหนี้เพื่อการยังชีพ ให้สามารถฟื้นฟูฐานะตนเองได้โดยไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลล้มละลาย
หลักการสำคัญ: สร้างโอกาสครั้งที่สอง
ร่างกฎหมายล้มละลายฉบับใหม่นี้ตั้งอยู่บนแนวคิด “ให้โอกาสครั้งที่สอง” โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่
เปิดช่องให้บุคคลธรรมดาที่สุจริตและมีรายได้ต่อเนื่องสามารถขอฟื้นฟูได้
แยกกระบวนการฟื้นฟูออกจากการล้มละลาย ลูกหนี้ที่ปฏิบัติตามแผนจนสำเร็จไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลล้มละลาย
ปกป้องผู้ค้ำประกัน ลดการลุกลามของหนี้ไปสู่ครอบครัว
ยึดหลักความสุจริต ปลดหนี้ให้กับลูกหนี้ที่ตั้งใจชำระจริง
รมว.ยุติธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายที่ดีไม่ใช่กฎหมายที่ลงโทษแรงที่สุด แต่ต้องเป็นกฎหมายที่ “ช่วยให้คนล้มสามารถลุกขึ้นได้อย่างสง่างาม” พร้อมหวังว่าการปฏิรูปครั้งนี้จะไม่เพียงผ่านรัฐสภา แต่จะ “ผ่านในหัวใจประชาชนไทย” ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสัมมนาครั้งนี้ยังมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมอภิปราย อาทิ นายพิชัย นิลทองคำ, ดร.พรภัทร์ ตันติกุลานันท์, อาจารย์สฤนี อาชวานันทกุล และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิสิต อินทมาโน ท่ามกลางผู้เข้าร่วมจำนวนมากจากแวดวงวิชาการและสาธารณชน