‘สว.สำรอง’ หวั่น กกต.เจอมนต์ดำหมอเขมร ทำสำนวนสอบฮั้ว สว.ไม่คืบ จี้เร่งดำเนินการ
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว นำคณะ สว.สำรองจำนวนหนึ่งเดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เรียกร้องให้เร่งดำเนินการพิจารณาเรื่องร้องเรียน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เกี่ยวข้องกับการฮั้วเลือก สว. หลังจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ที่ประกอบด้วยผู้แทน กกต. ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบเสร็จสิ้นและส่งสำนวนถึง กกต. แล้วเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยให้ กกต. เร่งรัดพิจารณาและทำสำนวนส่งศาลฎีกาโดยเร็ว
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า เนื่องจากตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) 2566 ในข้อที่ 92 ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้เลขาธิการ กกต. เสนอสำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนที่ได้ดำเนินการตามระเบียบนี้ต่อ กกต. โดยเร็ว แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ก็เลยเวลา 1 ปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 2568 สำนวนการสืบสวนไต่สวนในเรื่องนี้ควรอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ กกต. แล้วเป็นอย่างน้อย แต่เกิดความล่าช้ามาก ถือเป็นความบกพร่องของ กกต. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้ง ประธาน กกต. ยังได้ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ในทำนองว่า กกต. จะไม่เร่งรัดการดำเนินการ แต่จะปล่อยให้การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนปกติทั่วไป
“นับเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ และเปิดโอกาสอำนวยความสะดวกให้กลุ่ม สว. ที่ได้รับเลือกไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มีโอกาสที่เลือกหรือลงมติเห็นชอบต่อการพิจารณากรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะครบวาระในเร็วๆ นี้ ถึง 9 ตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้คนเหล่านี้ก็จะถูกตั้งคำถามความชอบธรรมอีก” พล.ต.ท.คำรบ กล่าว
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวต่อว่า ดังนั้น จึงขอเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้ฝ่ายกฎหมายของ กกต. เร่งตรวจสอบขั้นตอนดำเนินการต่างๆ โดยเร็ว ไม่ควรใช้เวลาดำเนินการมากกว่า 7 วันทำการ โดยไม่ต้องประวิงการดำเนินตามกรอบเวลาถึง 60 วัน ตามระเบียบ 2.กกต. ควรมีคำสั่งยกเว้นไม่ต้องผ่านการดำเนินการของคณะกรรมการอนุวินิจฉัยอีก โดยให้สำนักงาน กกต. ส่งสำนวนการสืบสวนไต่สวนตรงไปยัง กกต. พิจารณาเลย หรือหากจำเป็นจริง ก็อาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ กกต. แต่ละคน ร่วมเป็นคณะอนุวินิจฉัยโดยใช้เวลาไม่ควรเกิน 7 วันทำการ จากนั้นก็ส่งสำนวนเสนอต่อ กกต. เพื่อพิจารณา
3.กกต. ทั้งคณะรับรู้รับทราบเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตนเองแล้วอย่างครบถ้วน จึงควรใช้เวลาไม่นานในการพิจารณามีคำวินิจฉัยในสำนวนคดีนี้ เสนอต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไปโดยเร็ว ตามความในข้อ 82 ของระเบียบการสืบสวนไต่สวนนี้ ทั้งนี้ กระบวนการเหล่านี้ตนมองว่า ควรจบและส่งศาลฎีกาได้ไม่เกินวันที่ 12 ส.ค. ก่อนที่ กกต. 2 คน จะเกษียณอายุราชการ เพราะถ้าเอาระยะเวลาตามระเบียบ ก็ต้องใช้เวลานานถึง 8 เดือน หรือจะไปจบในกลางปี 2569
“สว.สำรอง และประชาชนมาขอความร่วมมือจาก กกต. ทั้ง 6 ท่าน ว่าท่านเห็นการโกงนี้หรือเปล่า ท่านเห็นกระบวนการเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนจบกระบวนการรับรอง สว. เพราะจนถึงขนาดนี้ ผ่านไป 1 ปีแล้ว ประชาชนก็เป็นห่วงว่า กกต. ทั้ง 6 ท่าน จะเจอมนต์ดำเขมร เจอเวทมนต์ เจอไสยศาสตร์ ปิดหู ปิดตา ผ่านมาปี 1 มองไม่เห็นความเดือดร้อนของประชาชนในคดีนี้เลย เราจึงมาส่งสารถึง กกต. ทั้ง 6 ท่านว่าเรามาช่วยกันหาคนผิด หาคนที่พยายามดึงเรื่อง ประวิงเวลา เตะถ่วง ดึงสำนวน เพื่อไม่ให้สำนวนส่งถึงมือ กกต. ทั้ง 6 ท่าน เราต้องหาวิธีจับเอาคนพวกนี้มาติดคุกให้ได้” สว.สำรอง กล่าว.