ไหนว่าไม่เอาน้ำมันจากไทย? เพจดังแฉ! เขมรแอบซื้อน้ำมัน-ขนส่งทางเรือ
สถานการณ์บริเวณชายแดนระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” ยังคงตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ประกาศนโยบายยุติการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่า มาตรการดังกล่าว จะทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาล
โดย ฮุนเซน ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพขณะเดินทางเยือนประเทศสิงคโปร์ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า เขาได้เดินทางไปยังสาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการนำเข้าเชื้อเพลิงทดแทนจากไทย อย่างไรก็ตาม การเจรจาดังกล่าว ยังไม่สามารถตกลงกันได้ในขั้นสุดท้าย ฮุน เซน กล่าวผ่านเฟซบุ๊ก โดยย้ำว่า ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่า กัมพูชาจะสามารถจัดหาพลังงานได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
แต่มาตรการดังกล่าวดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามประกาศ หลังเพจชื่อดังอย่าง “CSI LA” ได้ออกมาอ้างว่า “พูดไม่เหมือนทำ! เขมรประกาศไม่ซื้อน้ำมันจากไทย – แต่เรือบรรทุกเต็มลำจอดหน้าท่าสีหนุวิลล์!” หลังจากรัฐบาลเขมร “สร้างภาพ” ประกาศว่า จะไม่ซื้อน้ำมันจากไทยอีกต่อไป เพื่อปลุกกระแสรักชาติ สร้างภาพความตึงเครียดปลอม ๆ แต่หลักฐานจากระบบ มารีนทราฟฟิก ชัดเจน
: เรือเชษฐ์ธนบดี เรือน้ำมันจากศรีราชา เดินทางถึง “ท่าสีหนุวิลล์” ตั้งแต่ 24 มิ.ย. เรือบรรทุกเต็มลำ สถานะล่าสุด : “ทอดสมอ” รอถ่ายของ
ฮุน เซน พูดกับประชาชนว่า “ตัดสัมพันธ์น้ำมันกับไทย” แต่หลังบ้าน… ยังแอบซื้อน้ำมันจากไทยเงียบ ๆ นี่คือ สองมาตรฐานของระบอบฮุน เซน ที่ “ใช้ไทยเป็นแพะในข่าว แต่ใช้ไทยเป็นแหล่งพลังงานจริง”
“ระบอบที่โกหกประชาชนตัวเอง… ก็คงไม่ลังเลที่จะหลอกคนไทยด้วย” ถึงเวลารัฐบาลไทยต้องตรวจสอบว่า ใครส่งน้ำมันให้เขมร ใครเป็นเจ้าของเรือ และมีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรอยู่เบื้องหลัง
ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบ ตัวเลขจาก กรมธุรกิจพลังงาน ระบุว่า กัมพูชาต้องพึ่งพิง การนำเข้าน้ำมันจากไทย ถึง 67.4% ของความต้องการรวม หรือประมาณ 6.62 ล้านลิตรต่อวัน โดยกัมพูชาไม่มีแหล่งผลิตน้ำมันในประเทศเลย และที่สำคัญ ไม่มีถังสำรองน้ำมันระดับชาติแม้แต่ลิตรเดียว หากย้อนดูข้อมูลของ ปี 2567 กัมพูชานำเข้าน้ำมันจากไทยน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักที่กัมพูชาต้องการมากที่สุด คิดเป็น 49.6% ของการนำเข้ารวม รองลงมาคือน้ำมันเบนซิน 43.8%
ที่น่าสนใจคือ โรงกลั่นไทยออยล์ เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุด คิดเป็น 64.9% ของปริมาณรวมที่ส่งไปกัมพูชา รองลงมาคือ โรงกลั่น IRPC 19.9% และ GC 13.9% การขนส่งส่วนใหญ่ทำผ่านทางเรือ ที่ท่าเรือมาบตาพุดและศรีราชา ส่วนการขนส่งทางบก ก็ผ่านด่านอรัญประเทศและคลองใหญ่ ทำให้กัมพูชา ได้รับน้ำมันราคาถูกและสะดวกรวดเร็ว
ศาสตราจารย์ ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็น ว่า กัมพูชาคงต้องหันไปซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์เป็นหลัก ราคาย่อมสูงกว่าซื้อจากไทยแน่นอน เพราะมีค่าขนส่งเพิ่ม อาจต้องขนส่งหลายต่อกว่าจะถึง ทั้งที่เดิมซื้อจากโรงกลั่นไทยแค่ขนส่งผ่านชายแดนไปเท่านั้น" ส่วนทางเลือกอื่นก็มีข้อจำกัด ถ้าคิดจะซื้อจากเวียดนาม "น้ำมันก็ไม่มีเพียงพอจะส่งออกมาขายให้กัมพูชา"
ขณะที่มาเลเซียก็คงไม่ต่างจากสิงคโปร์ แต่สิงคโปร์น่าจะดีกว่า เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าน้ำมันขนาดใหญ่ "น้ำมันจากไทยมีเพียงพอขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อกัมพูชาเลือกระงับนำเข้าจากไทย ก็ต้องยอมรับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนทำร้ายตัวเอง"
ทั้งนี้ การที่ผู้นำประเทศกัมพูชา ตัดสินใจระงับนำเข้าน้ำมันจากไทย อาจเป็นการแสดงจุดยืนทางการเมือง แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือความเดือดร้อนของประชาชนกว่า 16 ล้านคน ที่ใครจะไปคิดว่า การตัดสินใจทางการเมืองครั้งหนึ่ง จะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงในการบริหารประเทศ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนในกัมพูชานั่นเองที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในที่สุด
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews