ทำไม'ระบอบฮุน เซน'ถึงไม่กล้าเปิดเผยตัวเลขทหารกัมพูชาที่เสียชีวิต
จนถึงขณะนี้ทางการกัมพูชาก็ยังไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงของทหารที่เสียชีวิตจากการปะทะกับกองทัพไทยก่อนการหยุดยิง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ตามหาญาติและคนในครอบครัวที่สูญหายไปหรือตามไม่พบ (Unaccounted for) และกระแสนี้ในกัมพูชายิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่รัฐบาลไม่ได้ปริปากบอกข้อมูลที่ถูกต้อง หรือแม้แต่กล้ามารับศพทหารกัมพูชาที่ยังถูกทิ้งไว้ตามชายแดน
ตามทฤษฎีทางการทหารที่เสนอโดย ลอว์เรนซ์ ฟรีดแมน (Lawrence Freedman) นักประวัติศาสตร์การทหารที่มีชื่อเสียงของโลก กล่าวว่า การที่รัฐบาลหนึ่งไม่กล้าเปิดเผยตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แท้จริง เป็นเพราะกลัวขวัญกำลังใจของประชาชนจะสูญเสียไป เนื่องจากอาจพบว่าผู้เสียชีวิตมีจำนวนสูงมาก การเปิดเผยออกไปจะทำให้ประชาชนไม่กล้ามา "รับใช้ชาติ" แต่ ฟรีดแมน ก็ยังบอกด้วยว่ายอดผู้เสียชีวิตสามารถใช้ปลุกระดมความรักชาติได้ด้วย เพียงแต่ว่าในกรณีของกัมพูชาตัวเลขอาจจะสูงมากจนทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กัมพูชาเพิ่งจะประกาศบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารประชาชนอย่างจริงจัง "เพื่อรับมือกับไทย" และก่อนหน้านี้สื่อต่างประเทศไปสัมภาษณชาวกัมพูชาเกี่ยวกับการยอมถูเกณฑ์ทหาร ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่าพร้อมที่จะ "รับใช้ชาติ" แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่กังวลกับเรื่องนี้เหมือนกัน โดยยังแสดงท่าทีกึ่งรักชาติกึ่งรักตัวเอง
แต่หาก 'ระบอบฮุน เซน' เปิดเผยผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่แท้จริง อาจทำให้ชาวกัมพูชาที่บอกว่าพร้อม "รับใช้ชาติ" อาจจะต้องเปลี่ยนใจ แต่ยิ่งหากมีการเผยแพร่ภาพและข้อมูลความโหดร้ายของสงคราม อาจจะทำให้กระแสพลิกจากการพร้อม "รับใช้ชาติ" มาเป็นการต่อต้าน 'ระบอบฮุน เซน' ด้วยซ้ำ
เพราะ "ความโหดร้ายของสงคราม" ไม่ใช่แค่การรบกันที่แนวหน้า แต่ยังรวมถึงความสูญเสียที่ที่โยงใยมาถึงกันด้วย เช่น การถูกปิดล้อม เช่น ปิดด่านระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่วผลสะเทือนทางเศรษฐกิจและทำให้มีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากและการไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล ยังไม่นับการที่กัมพูชา "ยอมแพ้ในสงครามภาษีต่อสหรัฐฯ" ซึ่งทำให้อาจเกิดสงครามต่อเนื่องด้านเศรษฐกิจกับจีนที่มองว่ากัมพูชา "หักหลังตน" ผลจากสงครามนอกรูปแบบนี้อาจทำให้มีการสูญเสียต่อพลเรือนมากมาย
แต่เชื่อว่า 'ระบอบฮุน เซน' มีความพร้อมมากกว่าในการทำ "โฆษณาชวนเชื่อ" ให้ประชาชนยังหลงเชื่อว่าสงครามไม่ได้โหดร้ายกับกัมพูชา ถึงขนาดบิดเบือนว่าฝ่ายไทยสูญเสียมากกว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่ ฮุน มาเนต เรียนรู้มาจากการเป็น "ศิษย์อเมริกัน" ซึ่งรัฐบาลอเมริกันเคยพินาศมาแล้วจากการเผยตัวเลขทหารที่เสียชีวิตจากสงครามเวียดนาม แต่ในระยะหลัง (โดยเฉพาะหลังจากที่ฮุน มาเนตไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยเวสต์ปอยต์) รัฐบาลอเมริกันที่ไปทำสงครามตั้งแต่อ่าวเปอร์เซีย อัฟกานิสถาน และอิรัก แม้จะต้องเผยยอดตายของทหาร แต่ก็บดบังมันด้วยการชวนเชื่อว่า "เราเหนือกว่า" แม้สุดท้ายจะต้องถอนกำลังออกมาทั้งสิ้นก็ตาม
ในหนังสือ "At War with Metaphor" โดย เอริน สติวเตอร์ (Erin Steuter) ศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเสนอทางอุดมการณ์ในข่าวและวัฒนธรรมสมัยนิยม กล่าวไว้ว่า "เพื่อลดความรู้สึกผิดของผู้ที่ไม่ได้ร่วมรบที่อยู่ที่บ้านเกิด ความรู้เกี่ยวกับความโหดร้ายมักถูกปกปิดไว้ รัฐบาลอเมริกันได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อปกปิดความน่าสะพรึงกลัวของสงครามจากสาธารณชน ในความพยายามที่จะ "ทำให้สงครามสะอาด" ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้ให้คำมั่นว่า "อาวุธไฮเทค" ของอเมริกาจะโจมตีเฉพาะ "ผู้ร้ายตัวจริง" เท่านั้น"
นอกจากนี้ยังมีการวิธีการอื่นๆ เพื่อปกปิดยอดผู้เสียชีวิตด้วย เช่น "มาตรการอื่นๆ ของรัฐบาลในการจำกัดการเปิดเผยภาพสงครามต่อสาธารณชน ได้แก่ การซื้อลิขสิทธิ์ภาพถ่ายดาวเทียมของสนามรบทั้งหมด และการห้ามถ่ายภาพโลงศพทหารสหรัฐฯ ที่เสียชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตระหนักว่าสงครามเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของมนุษย์คนอื่นๆ รัฐบาลยังระมัดระวังในการงดเว้นการนับจำนวนผู้เสียชีวิตของศัตรู ("เราไม่นับจำนวนผู้เสียชีวิต") เพื่อปกปิดจำนวนผู้เสียชีวิตที่หน่วยงานสิทธิมนุษยชนระบุว่าอาจสูงถึงสามในสี่ล้านคน ทั้งชาย หญิง และเด็กชาวอิรัก"
ข้างต้นนี้อาจเป็นสิ่งที่ระบอบฮุน เซนและฮุน มาเนต เรียนรู้จากสหรัฐฯ และกำลังทำอยู่ เพียงแต่ทำด้วยวิธีการปล่อยข้อมูลเท็จออกมากลบเกลื่อน เนื่องจากศักยภาพของกัมพูชานั้น "ยากจน" เกินกว่าจะปกปิดแบบสหรัฐฯ ซึ่งปิดแบบแนบเนียนโดยใช้ความจริงในสถานการณ์จริงของสงครามมา "พลิกกลับ" เพียงเล็กน้อยให้เป็น "ความจริงในแบบของเรา"
ในขณะเดียวกัน ทางการไทยก็ยังไม่เปิดเผยการทำงานเพื่อการตรวจสอบยอดผู้เสียชีวิตของฝ่ายกัมพูชา การเปิดเผยตัวเลขสูญเสียของฝ่ายตรงข้ามจะช่วยทำลายขวัญกำลังใจของกัมพูชาได้ แต่ฝ่ายไทยก็ยังไม่ทำ เมื่อพิจารณาคำกล่าวของ ฟรีดแมน ที่กล่าวไว้ในหนังสือ The Future of War ว่า การปกปิดยอดผู้เสียชีวิตอาจเป็นเพราะ "พวกเขาใส่ในอนุสัญญาเจนีวา" ดังนั้นการปกปิดยอดเสียชีวิตของฝ่ายตรงข้าม อาจเป็นเพราะฝ่ายไทยระแวงว่าหากยอดเสียชีวิตของกัมพูชา "สูงเกินไป" อาจทำให้ไทยต้องถูกแรงกดดันด้านมนุษยธรรมได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการรบครั้งนี้ไทยพยายามรบตามกรอบสากลว่าด้วยการทำสงคราม (ตามกฎหมายระหว่างประเทศและตามหลักสิทธิมนุษยชน) จึงหลีกเลี่ยงการทำลายเป้าหมายพลเรือนแม้แต่การให้กระทบกระทั่งแล้วอ้างว่าเป็น "ความเสียหายร่วมในสงคราม" (Collateral damage) ก็หลีกเลี่ยงเนื่องจากยังไม่ใช่ "ภาวะสงครามที่แท้จริง" ด้วยสาเหตุนี้อาจทำให้ไทยต้องระวังในการ "ใช้ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพื่อหวังผลการเมือง"
แต่สาเหตุสำคัญน่าจะอยู่ที่ฝ่ายกัมพูชา "ละทิ้งประชาชนตัวเอง" มากกว่า ทั้งทิ้งผู้เสียชีวิตตามชายแดน และทิ้งประชาชนที่อยู่ข้างหลังให้ติดตามผู้สูญหายกันเอง ยังไม่นับการที่กัมพูชา"ใช้เหยื่อการปะทะกันเพื่อหวังผลการเมือง" โดยขาดหิริโอตตัปปะ ทั้งๆ ที่ฝ่ายไทยควรจะทำแบบนั้นมากกว่าด้วยซ้ำในฐานะที่พลเรือนของของไทยตกเป็นเป้าหมายการโจมตี
ในสถานการณ์สงครามที่อื่นๆ ก็มีการ "อำพราง" ตัวเลขผู้เสียชีวิตและ "บิดเบือน" ตัวเลขเพื่อหวังผลทางการเองเช่นกัน เช่น สงครามฮามาส-อิสราเอลที่ยังคงดำเนินอยู่ ตัวเลขเสียชีวิตของฝ่ายอิสราเอลถูกตั้งข้อสังเกตว่าน้อยเกินไป จนอาจมี "การปกปิดตัวเลขที่แท้จริง" ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในกาซาก็ถูกมองว่าสูงเกินไป จนเชื่อว่า "อาจทำตัวเลขเพื่อหวังผลการเมือง"
ดังนั้น การไม่เปิดเผยยอด "ที่แท้จริง" ของฝ่ายกัมพูชาต้องหวังผลทางการเมืองอย่างแน่นอน และเชื่อว่าฝ่าย "กองทัพไทย" ก็ควรจะติดตามเรื่องนี้ด้วย เพราะผลของสงครามไม่เพียงบั่นทอนกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่ยังสามารถโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเห็นว่า "พาพวกเขาไปตาย" ได้ด้วย อย่างเช่นกรณีของรัฐบาลพระเจ้าซาร์ของรัสเซียที่ถูกพวกบอลเชวิกปฏิวัติโค่นล้มสำเร็จ สาเหตุที่เป็น "สารตั้งต้น" ก็คือพาคนรัสเซียไปตายในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ที่รัสเซียพ่าย "ประเทศเล็ก" อย่างยับเยิน
เช่นกัน 'ระบอบฮุน เซน' ก็สามารถถูกโค่นล้มได้ หากมีการ "ทำให้ยอดผู้เสียชีวิต" กลายเป็นอาวุธทางการเมือง เพื่อหยุดยั้งสงครามที่จะบานปลาย และสร้างสันติภาพที่ยืนนานขึ้น
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better
Photo - ประธานวุฒิสภาและประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ฮุน เซน (ซ้าย) และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา (ขวา) ปล่อยนกพิราบในพิธีฉลองครบรอบ 74 ปีการก่อตั้งพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 (ภาพโดย TANG CHHIN Sothy / AFP)