ส่องทิศทาง ‘ค่าเงินบาท – ฟันด์โฟลว์’ โดนกระทบแค่ไหน จากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
สถานการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้ถือว่ามีความผันผวนจากหลายปัจจัยกดดัน มาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นตามมาอีก แล้วเงินบาท – ฟันด์โฟลว์ ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเคลื่อนไหวต่ออย่างไร
แพทริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า ค่าเงินบาทในปีนี้ยังคงเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยหลักๆ มาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากนโยบายของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และล่าสุดยังมีการกลับตัวของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 3,400 ดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาทองคำอ่อนค่าลงเล็กน้อย ค่าเงินบาทก็ปรับขึ้นไปประมาณ 20 สตางค์
อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำกลับไปทำ New High อีกครั้ง ค่าเงินบาทอาจมีแรงกดดันน้อยลง
นอกจากนี้ การพิจารณาสกุลเงินอื่นๆ ร่วมด้วยก็เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้เสียเปรียบทางการค้า แต่หากสกุลเงินของจีนและประเทศเพื่อนบ้านก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
คาดสิ้นปีเงินบาทเคลื่อนไหว บวก – ลบ 32 บาท
เมื่อมองแนวโน้มค่าเงินบาทในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ แพทริก มองว่าปีนี้ยังคงเป็นปีที่ผันผวน โดยค่าเงินบาทเปิดปีนี้มาที่ประมาณ 34.30 บาท และลงมาแข็งค่าสุดที่ระดับประมาณ 32 บาท โดยการแข็งค่าของเงินบาทไม่เป็นผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของประเทศ
โดยธนาคารไทยพาณิชย์ ยังคงมองว่าสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทมีโอกาสเคลื่อนอยู่ในระดับบวกหรือลบ 32 บาท ซึ่งโอกาสที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าเกิน 34 บาทนั้นค่อนข้างน้อย นอกจากจะมีปัจจัยหนักๆ เช่น เศรษฐกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแท้จริง ส่วนโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าหลุดต่ำกว่า 30 บาทนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วถึง 6% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงเกือบ 10% ถือว่าเงินบาทปรับลงมาค่อนข้างมากแล้ว และน่าจะยังทรงตัวอยู่ในช่วง 32 บาทบวกลบได้
พิพาทชายแดนไร้ผลกระทบ ฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าตลาดบอนด์
ในส่วนของฟันด์โฟลว์ ประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนอย่างมีนัยสำคัญ ยังไม่มีการไหลเข้าหรือออกของเงินทุนจำนวนมาก และถือว่าส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทค่อนข้างน้อย
ภาพรวมของกระแสเงินทุนในปีนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้วที่เงินทุนไหลออกจากทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น แต่ปีนี้เริ่มเห็นเงินทุนกลับเข้ามาใน ตลาด Bond Market บางส่วน แต่ตลาดหุ้นยังคงอ่อนแอและมีเงินทุนไหลออกอยู่
สาเหตุที่เงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรมี 2 ประเด็นหลัก คือ
- การคาดการณ์ว่าไทยอาจมีการลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็งกำไรในค่าเงินผ่านตลาดพันธบัตร
2 คาดว่าจะได้กำไรจากอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งทั้งสองปัจจัยนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าตลาดพันธบัตร
จับตาทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ และไทย
สำหรับผลการประชุม FOMC (Federal Open Market Committee) ของธนาคารสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าตลาดค่อนข้างชัดเจนว่ามีโอกาสที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะปรับลดลงประมาณ 2 ครั้ง โดยจะเริ่มตั้งแต่หลังการประชุมครั้งนี้เป็นต้นไปจนถึงต้นปีหน้า เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีความต้องการให้มีการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแรงกดดันทางการเมือง นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เริ่มสลับดีบ้างและอ่อนแอลงบ้าง ก็เป็นปัจจัยเสริมที่บ่งชี้ว่าดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ 2 ครั้งในปีนี้
ส่วนภาพรวมของไทย หลังการเข้ามาของ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน ตลาดคาดการณ์ว่าอาจมีการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น SCB เองก็มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังของไทยน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงประมาณ 2 ครั้ง โดยอาจจะเป็นเดือนสิงหาคมและสิ้นปี ซึ่งตลาดพันธบัตรก็ได้มีการ Price in ไปแล้วว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
สำหรับต้องจับตาต่อไป คือสถานการณ์ในปีหน้า หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อาจจำเป็นต้องมีการลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 หรือไม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับปีนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงมองว่าการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งเป็นพื้นฐานที่คาดการณ์ไว้