"รฟท.-กทท." ลงนาม MOU อัพเกรดระบบขนส่งตู้สินค้า ดันร่วมทุน PPP ไอซีดี ลาดกระบัง
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า หลังจากเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) นั้น
ทั้งนี้ รฟท. และ กทท. ในฐานะรัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม ต่างมีบทบาทสำคัญในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งในรูปแบบขนส่งทางรางและทางน้ำ
นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบในแง่ต้นทุนพลังงานที่ต่ำ ความปลอดภัยสูง และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าระบบขนส่งรูปแบบอื่น
อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายการขนส่งของภาครัฐ ที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งไปสู่ระบบที่ยั่งยืนมากขึ้น จึงเกิดความร่วมมือในครั้งนี้ขึ้น
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับฐานการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรทั่วประเทศ
“การเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งจากถนนไปสู่ระบบรางและทางน้ำมีต้นทุนต่ำกว่า และสามารถตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือครั้งนี้จะใช้โครงข่ายระบบรางเป็นกลไกหลัก โดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางทะเลของประเทศ ” นายวีริศ กล่าว
นายวีริศ กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่ที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้น ในส่วนของรฟท.พบว่า โครงการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ที่ผ่านมาติดปัญหาเรื่องสัญญาการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) กว่า 15 ปี
ทั้งนี้จากมติครม.ให้รฟท.ศึกษารูปแบบการลงทุนเป็น PPP Net Cost ของโครงการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ปัจจุบัน รฟท. ส่งไปที่กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว
นายวีริศ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดีตามแผนทางกระทรวงฯจะเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ภายในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
"หากโครงการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ลาดกระบัง ผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้วเชื่อว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น" นายวีริศ กล่าว
อย่างไรก็ดีหากมีการลงนามสัญญากับเอกชนในโครงการไอซีดี ลาดกระบัง แล้ว
ตามสัญญาฉบับใหม่ ได้กำหนดสัดส่วนการขนส่งรถไฟต้องไม่น้อยกว่า 50% ภายใน 1 ปีจากเดิมที่กำหนดให้สัดส่วนการขนส่งรถไฟอยู่ที่ 40%
นายวีริศ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารฟท.ได้มีการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าไปยังท้าเรือแหลมฉบัง จำนวน 35 แคร่ จากเดิมที่มี 32 แคร่ สามารถรองรับจำนวนตู้ขนส่งสินค้าเพิ่มได้อีก 5-6 หมื่นทีอียูต่อปี อีกทั้ง เพิ่มขบวนรถไฟจาก 24 ขบวน เพิ่มเป็น 26-28-30 ขบวนตามลำดับ
นอกจากนี้ในปัจจุบันรฟท.ยังมีการจัดซื้อแคร่ขนส่งสินค้าอีก 946 แคร่ โดยเตรียมจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเร็วๆนี้ ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ทั้งสองหน่วยงานมีการขนส่งสินค้าเชื่อมโยงระหว่างกันตั้งแต่ปี 2538 จากการขนส่งสินค้าผ่านสถานีบรรจุและแยกสินค้าลาดกระบัง (ICD ลาดกระบัง)
ในปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการยกขนตู้สินค้าทางรถไฟด้วยโครงการ SRTO ที่มีปริมาณการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟมากกว่า 5 แสนทีอียูต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า การลงนาม MOU ระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้ โดยกทท.จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบรางเพิ่มเติม
รวมทั้งการจัดซื้อเครื่องจักรในการยกขนสินค้าที่ใช้สำหรับรางรถไฟ (RMG) วงเงิน 900 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 คาดว่าใช้ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เพื่อจัดซื้อต่อไป ซึ่งตั้งเป้าขยายปริมาณการขนส่งตู้สินค้าให้แตะ 2 ล้านทีอียูต่อปี ภายในระยะเวลา 10 ปี