ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเปิดงานประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติฯ ในหัวข้อ “มิติใหม่การพัฒนายาชีววัตถุ: เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย”
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เสด็จไปยังศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ทรงเป็นประธานเปิดงานประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้หัวข้อ “มิติใหม่การพัฒนายาชีววัตถุ: เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย” (Frontiers in Biologics Development: Towards a Brighter Future for Thailand) ซึ่งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงประสบความสำเร็จในการวิจัย พัฒนา และผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง “ทราสทูซูแมบ” ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภายใต้ชื่อพระราชทาน “HERDARA” ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างศักยภาพของประเทศไทย ในการพัฒนายา ที่ไม่ต้องพึ่งพาการซื้อ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
โอกาสนี้ ทรงมีพระดำรัสเปิดการประชุมฯ ความตอนหนึ่งว่า “…ยาชีววัตถุได้ชื่อว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง เป็นความหวังของการรักษาโรคหลายอย่าง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต …พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้ทรงฝากฝังกับข้าพเจ้าซึ่งได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ให้หาทางที่จะสร้างศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางยา พึ่งพาตนเองได้ โดยทำการวิจัยเพื่อนำไปสู่การพัฒนายา…” และทรงรับฟังปาฐกถาเฉลิมพระเกียรติฯ โดยศาสตราจารย์ ราม ซาซิเซคาราน (Professor Ram Sasisekharan) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา (Massachusetts Institute of Technology -MIT), USA ในหัวข้อเรื่อง “สดุดีพระเกียรติคุณ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ: บทบาทของประเทศไทยในยุคที่ยาชีววัตถุมีความสำคัญระดับโลก” (A Tribute to Her Royal Highness Princess Chulabhorn Mahidol: Thailand’s Role in the Global Biologics Era)
ต่อจากนั้น ทรงรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง “จากการเรียนการสอนสู่ห้องปฏิบัติการ: จุดเริ่มต้นของยาชีววัตถุในประเทศไทย” (From Blackboard to Benchside: The Origin of Biologics in Thailand) โดยศาสตราจารย์ จอห์น เอ็ม เอสซิกแมน (Professor John M. Essigmann) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา (Massachusetts Institute of Technology -MIT), USA ซึ่งสดุดีพระปรีชาสามารถในการวางรากฐานการพัฒนายาควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรให้ประเทศ
การประชุมวิชาการในครั้งนี้ เป็นการระดมผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลกร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ด้านวิทยาศาสตร์และระบบกำกับดูแลยากว่า 400 คน อีกทั้ง ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรระดับนานาชาติที่มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุขและการกำกับดูแลยา อาทิ Dr. Janet Woodcock อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา (U.S. FDA) กล่าวบรรยายในหัวข้อ “Harmonizing for Health: Regulatory Innovation Across Border” โดยเน้นแนวโน้มการพัฒนาระบบกำกับดูแลยาชีววัตถุบนพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แทนข้อกำหนดแบบเดิม และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเร่งการเข้าถึงยาที่มีคุณภาพในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง และ Professor Helen Boucher (M.D.) คณบดี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย Tufts, สหรัฐอเมริกา กล่าวบรรยายในหัวข้อ“From Resistant to Resilience: AMR as a Case Study for Clinical Innovation” นำเสนอแนวทางใหม่ในการรับมือกับปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาระบบวิจัยทางคลินิกอย่างยืดหยุ่นและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการเสวนาเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัย Tufts, มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (SingHealth-Duke NUS), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ บทบาทของชีววัตถุในการรักษามะเร็งแห่งอนาคต แนวทางการเข้าถึงการรักษาโรคหายาก การปฏิรูปการผลิตชีววัตถุในยุคใหม่ นับเป็นเวทีทางวิชาการครั้งสำคัญที่ได้เปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันชั้นนำด้านยาทั้งจากประเทศไทยและต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดเห็น และวิสัยทัศน์ในการพัฒนายาชีววัตถุ และการกำกับดูแลที่ทันสมัย เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของระบบสาธารณสุขไทยและของโลก