โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

ตอบโต้กัมพูชาที่ว่า "ไทยไร้อารยธรรม" ที่แท้ชาติตัวเองไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจ

The Better

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • THE BETTER

วันนี้ผมได้อ่านบทความทัศนะที่เผยแพร่ใน The Phom Penh Post แล้วคันมือคันเท้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นอีกหนึ่ง "ชุดความคิดที่ผิดเพี้ยน" ซึ่งก่อให้เกิดความเคียดแค้นในหมู่คนเขมรต่ำแล้วอ้างความแค้นและ "บุญคุณ" นั้นมา "ก่อกวน" ประเทศไทยไม่หยุดหย่อน

บทความนั้นมีชื่อว่า “เมื่อความเป็นพี่น้องกลายเป็นการทรยศ: ต้นกำเนิดของไทยในอารยธรรมเขมร”

แม้บทความจะใส่คำว่า Brotherhood (ความเป็นพี่น้อง) แต่ใส่ไว้อำพรางความเป็น "ผู้ดีจอมปลอม" งั้นๆ เพราะเนื้อหาซ่อนความผิดเพี้ยน ความเป็นพิษ ความโง่เขลาทางปัญญา ซึ่งทั้งหมดคือรากฐานของ "ชาตินิยมแขมร์" อันมีศัตรูคือ "ชาติไทย"

บทความกล่าวว่า"หลายร้อยปีก่อน ในศตวรรษที่ 13 ชาวไทอพยพออกจากยูนนานทางตอนใต้ของจีน พวกเขามาพร้อมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่มีตัวอักษร วัดวาอาราม หรือแม้แต่ระบบกษัตริย์ พวกเขาเป็นเพียงผู้มาใหม่ที่แสวงหาดินแดนและความอยู่รอด"

แง่มุมใหม่ของการมองประวัติศาสตร์ตอนนี้ก็คือ การอพยพของคนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทจากพื้นที่ต่างๆ ของจีนลงมายังดินแดนของประเทศไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยมีหลักฐานทางภาษาศาสตร์เป็นเครื่องยืนยัน แต่การอพยพมีหลายระลอก ระลอกแรกนั้นอาจเกิดขึ้นนานหลายพันปีด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ศตวรรษที่ 13 และไม่ใช่แค่อพยพจากมณฑลยูนนาน แต่ผมจะตัดตอนการอพยพอันยาวนานของบรรพชนของคนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไท คือ 'ชาวไป่เยว่' ออกไปเพื่อกันความสับสน

นับตั้งแต่การอพยพของชาวไป่เยว่จากลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ผ่านเจียงหนาน หลิ่งหนาน และเยว่หนาน การอพยพระลอกหลังสุดของคนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทนั้นมาจากหยุนหนาน (ยูนนาน) ก็จริงอยู่แต่เป็นกลุ่มหลังสุดแล้วและไม่ใช่คนป่าคนเถื่อนแต่มีวัฒนธรรมสูง หนึ่งในการอพยพกลุ่มหลังๆ มาจากกว่างซีเข้ามาถึงเมืองแถนของเวียดนามจนถึงเขียงขวางของลาวในศตวรรษที่ 11 โดยกลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มชาวหนงหรือจ้วง ซึ่งมีขาวจ้วงตระกูลหนง นำโดยหนงจื้อเกา ตั้งตัวเป็นใหญ่เป็นเอกเทศจากราชวงศ์ซ่งของจีนและอาณาจักรด่ายเหวียดของเวียดนาม

ดินแดนของหนงจื้อเกานั้นอยู่ในเขตอารยธรรมแบบจีนมาตั้งแต่ก่อนราชวงศ์ซ่งเสียอีก ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังแล้วที่คนพวกนี้มีวัฒนธรรมชั้นสูงและระบอบสังคมที่เป็นระบบกว่า "พวกแขมร์" เสียอีก ซึ่งแม้พวกแขมร์จะรับวัฒนธรรมอินเดีย (โดยไม่สำนึกในบุญคุณอินเดียเอาเลย เพราะอ้างตนเป็นเจ้าของวัฒนธรรมเดิมแท้) แต่ระบบสังคมและการปกครองไม่มีความรัดกุมแบบพวกของหนงจื้อเกาด้วยซ้ำ

หลังจากพวกของหนงจื้อเกาถูกตีโดยพวกจีนและเวียดจนต้องหนีเข้ามาเมืองแถนและเขียงขวาง บางส่วนหนีไปยังตอนใต้ของยูนนนาน แล้วเข้าร่วมกับคนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในแถบนั้นอยู่แล้วตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน โดยมีอารยธรรมสัมฤทธิ์ที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าพวกแขมร์หลายเท่า เมื่อกลุ่มนี้ผนึกกำลังกับกลุ่ม'คนไท'เดิมก็มีกำลังกล้าแข็งขึ้นในศตวรรษที่ 13

นักวิชาการจ้วงบางคนจึงเสนอว่า เพราะการผนึกกำลังของพวกหนงจื้อเกาและคนไทในยูนนาน ซึ่งพวกจ้วงกลุ่มหนงจื้อเกานั้นเป็นนักรบที่แข็งแกร่งสามารถต้านทานจีนและเวียดได้จึงทำให้คนไทแข็งแกร่งขึ้นและมีกองทัพที่เป็นระบบและเริ่มขยายดินแดนลงใต้โดยยึดครองดินแดนเดิมของอาณาจักรน่านจ้าวและต้าหลี่ จนกระทั่งนำไปสู่การตั้งอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง (สิบสองปันนา) ในศตวรรษต่อๆ มา

แต่นี่เป็นการอพยพครั้งหลังสุด ยังไม่เอ่ยถึงการอพยพระลอกแรกๆ ของคนไทจากยูนนานที่เกิดก่อนศตวรรษที่ 10 เสียอีก ในช่วงที่อาณาจักรน่านจ้าวลงมาตีอาณาจักรหริภุญไชย (ลำพูน) แล้วพบความพ่ายแพ้ แต่ก็มีโอกาสที่คนไทในอาณาจักรน่านจ้าว (ซึ่งมีชนชั้นนำเป็นชนชาติไป๋) ที่เกณฑ์มารบในฐานะประเทศราช บางส่วนอาจจะใช้โอกาสนี้ "หนีทัพ" แล้วปัหลักอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยเสียเลย

คนเหล่านี้อาจจะผสมผสานกับคนมอญแห่งหริภุญไชยนับแต่นั้น บางส่วนอาจอพยพลงใต้กลายเป็นที่มาของสุโขทัย บางส่วนอาจลงใต้ลงไปมากกว่านั้นสู่ละโว้ (ดินแดนเดิมของทวารวดี) และกลายเป็นบรรพชนของผู้ก่อตั้งอาณาจักรอโยธยา ส่วนคนไทที่ยังไม่ผสมกับมอญหรือแขมร์แต่ยังอยู่ตอนเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน ในเวลาต่อมาจกลายเป็นบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนา

คนไทเหล่านี้มีวัฒนธรรมขั้นสูงอยู่แล้วในฐานะอนุชนของชาวไป่เยว่ ซึ่งเป็นผู้ช่ำชองในวิชาการหล่อสัมฤทธิ์ และเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการสัมฤทธิ์บางอย่างให้กับจีนด้วยซ้ำ เมื่ออพยพมาอยู่างตอนใต้ของจีนก็เผยแพร่วิทยาการเหล่านี้ไปทั่วยูนนานและกว่างซี ในช่วงเวลาที่คนแขมร์ยังทำได้แค่ก่ออิฐและตัดหิน คนไทนั้นมีเทคโนโลยีด้านโลหะวิทยามานานนับพันปี เราจะเห็นได้จากความเชี่ยวชาญของสุโขทัย อโยธยา และล้านนากับล้านช้างในการหล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดมหึมา ซึ่งพวกแขมร์ทำไม่ได้

คนไทในยูนนานแม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรน่านจ้าวและต้าหลี่ (ชนชาติไป๋) แต่ไม่ได้รับวัฒนธรรมจีนเหมือนชนชั้นนำของทั้งสองอาณาจักร อาจเป็นเพราะวัฒนธรรม 'เมือง' ของคนไทกลุ่มต่างๆ นั้นมีความซับซ้อนอยู่แล้ว ทั้งยังมีลักษณะการปกครองเป็นนครรัฐและการรวมนครรัฐเป็นอาณาจักรแบบสหพันธรัฐ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรับระบอบการปกครองแบบจีนมาสวมทับแทน

วัฒนธรรมเมืองของคนไทนั้นสูงกว่าการจัดการปกครองของพวกแขมร์ จนกระทั่งพวกแขมร์ยังรับเเอาคำว่า 'เมือง' ของคนไทไปใช้ แล้วแบบนี้จะเรียกว่าคนไทไร้อารยธรรมได้อย่างไร? ตัวเองเสียอีกที่รับแต่อารยธรรมภายนอกจากอินเดีย เช่น ลัทธิเทวราชและสังคมทาส (การแบ่งชั้นวรรณะ) เพื่อใช้กดขี่ชนชั้นล่างจนกระทั่งอาณาจักรของตนต้องล่มสลายเพราะสนิมกัดกินภายใน คนไทแค่ลงมาเก็บกวาดบ้านเมืองที่พังพินาศเป็นทุนเดิมแล้วเท่านั้น

สังคมของคนไทนั้นไม่มีการกดขี่ชนชั้นเหมือนพวกแขมร์ มีระบบ 'ขุน' หรือ 'เจ้าฟ้า' หรือกษัตริย์ที่ใกล้ชิดกับไพร่ฟ้ามากกว่าพวกแขมร์ และมีระบบเกณฑ์แรงงานที่ไม่กดขี่และทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่เกณฑ์ไปสร้างปราสาทหินที่ไร้ประโยชน์ต่อคนหมู่มาก สในขณะที่ 'ขุน' หรือ 'เจ้าฟ้า' นี้ยังถูกผูกมัดด้วยกฎหมายที่เก่าแก่และเป็นระบบ มีการกำหนดมาตราที่เป็นเหตุเป็นผล และการลงโทษที่มีมนุษยธรรม เช่น 'กฎหมายมังรายศาสตร์' ของอาณาจักรล้านนา ไปจนถึงพระราชกำหนดต่างๆ ของอาณาจักรอโยธยา (ที่ต่อมาคือรากฐานของประมวลกฎหมายตราสามดวง)

ในขณะที่อาณาจักรของพวกแขมร์นั้นไม่มีตัวบทกฎหมายลงเหลือเลย เช่นนี้ผู้เขียนบทความจะคุยโวได้อย่างไรว่า "นครวัดเป็นศูนย์กลางอันรุ่งโรจน์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดินแดนแห่งวัดวาอารามอันกว้างใหญ่ ระบบชลประทานอันล้ำสมัย ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ และธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ" ความจริงก็คือ แทบไม่มีหลักปรัชญา แนวคิดทางศาสนา กระทั่งกฎหมายลายลักษณ์อักษรเหลือเลยในมือคนแขมร์

ขณะที่ไทยนั้นมีกฎหมายเต็มไปหมด แม้แต่คนลาวล้านช้างก็มีกฎหมายเป็นตัวเป็นตน คือกฎหมายโพษาราช (ซึ่งพัฒนาโดยอิงกับหลัก 'เมือง' ของคนไทและลาวและพระธรรมศาสตร์ของมอญ) ดังนั้นก็เหมือนดั่งสุภาษิตว่า the law is light การที่คนไท (และลาว) มีอารยธรรมด้านนิติและรัฐศาสตร์ที่เป็นระเบียบกว่ามาก จึงเป็นแสงแห่งมนุษยชาติยิ่งกว่าอาณาจักรเขมรโบราณที่ไม่เหลืออะไรพวกนี้ไว้ดูต่างหน้าเลย กระทั่งเขมรรุนหลังยังต้องลอกหลักกฎหมายของไทยไป

การที่ผู้เขียนบทความบอกว่า "พวกเขา (คนไท) มาพร้อมกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่มีตัวอักษร วัดวาอาราม หรือแม้แต่ระบบกษัตริย์ พวกเขาเป็นเพียงผู้มาใหม่ที่แสวงหาดินแดนและความอยู่รอด" จึงเป็นเรื่องคิดเองเออเอง เพราะคนไทนำอารยธรรมขั้นสูงมาด้วยและทำให้วัฒนธรรมเดิมมีความละเมียดละไมและสูงส่งขึ้นด้วยซ้ำ ส่วนในแง่ตัวอักษรนั้นอักษรไทยและเขมรล้วนแต่มาจากอักษรปัลลวะ (ของอินเดีย) ด้วยกันทั้งคู่ จึงเป็นเรื่องตลกที่ "อักษรลูกหลานของปัลลวะ" หรืออักษรไทยและเขมรที่เป็น "พี่น้องกัน" จะติดหนี้ "อักษรรุ่นพี่รุ่นน้อง" อย่างเขมร

ที่อ้างว่าอาณาจักรแขมร์นั้นมี "ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ และธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์ที่สืบทอดกันมาหลายศตวรรษ" ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเป็นรูปธรรมเลย แม้วัฒนธรรมในยุคนั้นจะมีกล่าวถึงในจารึกอยู่บ้าง แต่ก็ขาดความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมแขมร์ยุคปัจจุบัน และยิ่งไม่ต้องพูดกว่าเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทที่ปรากฏในอาณาจักรอโยธยาอันสืบต่อมาถึงยุคเรา ตรงกันข้าม เพราะพวกแขมร์ทำลายตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมาพึ่งใบบุญ 'ไทย' ก็ต้องรับเอาวัฒนธรรมไทยไปฟื้นบ้านฟื้นเมืองตนเองตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แม้เมื่อเร็วๆ นี้ คือยุคหลังสงครามกลางเมือง ไทยก็ยังส่งครูนาฏศิลป์ไปสอนพวกแขมร์ แต่ตอนนี้พวกแขมร์กลับเนรคุณครูไทยโดยบอกว่า "ข้าเป็นต้นตำรับ"

การที่อ้างว่าคนไท/ไทยไม่มี "วัดวาอาราม" เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อที่สุด หากจะยึดตามทฤษฎีการอพยพของคนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทรุ่นกลางๆ ที่มายังดินแดนของคนมอญคืออาณาจักรหริภุญไชยและดินแดนเดิมของทวารดี (ซึ่งร้างไปด้วยสาเหตุที่เป็นปริศนา) คนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทต้องเข้าถึงศาสนาพุทธมาอย่างน้อยกว่าพันปีแล้ว ยังไม่นับการที่คนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทในยูนนานภายใต้อาณาจักรน่านจ้าวต้องเข้าถึงศาสนาพุทธก่อนหน้านั้นเข้าไปอีกเพราะน่านจ้าวนั้นมีฉายาว่า "พุทธเกษตร" คือผู้คนนับถือพุทธศาสนากันทั่วไป

ในขณะที่พวกแขมร์ยังถือผีถือพราหมณ์ คนพูดภาษาตระกูลขร้า-ไทเข้าถึงศาสนาพุทธก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อคนไทครองดินแดนตอนเหนือและตอนกลางของประเทศไทยปัจจุบันก็เข้าถึงพุทธศาสนาแบบท้องถิ่น แต่คนไทนั้นมีอารยธรรมและความนึกคิดอันสูงส่ง เมื่อเห็นพุทธศาสนาของเจ้าถิ่นเดิมหย่อนยานก็ทำการปฏิรูปศาสนาพุทธด้วยซ้ำ ด้วยการไป "สืบพระศาสนา" ที่ลังกาหรือศรีลังกา นำเอาสำนักลังกาวงศ์ที่ "บริสุทธิ์" เข้ามาแลัวชำระศาสนาพุทธนิกายเดิมที่หย่อนยานออกไป การสร้างสำนักลังกาวงศ์ในหมู่คนไทนั้นแข็งแกร่งมาก โดยประวัติศาสตร์ (เช่นตำรา "มูลศาสนา") บันทึกไว้ว่า พระสงฆ์ไทนั้นไปเผยแพร่ลังกาวงศ์ที่อโยธยาสายหนึ่ง ไปที่สุโขทัยสายหนึ่ง จากนั้นจากอโยธยาและสุโขทัยก็ขึ้นไปที่ล้านนา

ล้านนานั้นพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก มีพระภิกษุที่ช่ำชองในการประพันธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนามากมายมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแห่งพุทธศาสนาสายพระบาลี จนทุกวันนี้ล้านนาก็ยังเป็น "คลังพุทธศาสนา" ด้านปริยัติแห่งหนึ่งซึ่ง "อโยธิยาเมืองใต้" ก็ต้องพึ่งพาตำราพุทธศาสนาล้านนาเช่นกัน ขณะที่เมืองแขมร์นั้นไม่มีอะไรพวกนี้เลย กระทั่งอโยธยา/อยุธยา ต้องนำพุทธศาสนาฝ่ายปฏิรูปใหม่ไปเผยแพร่ที่เมืองแขมร์หลังจากนครวัดร้างผู้คนไปแล้ว ซึ่งมีหลักฐานทางโบราณคดีเป็นพุธศิลป์อยุธยาที่พบในเมืองพระนครมากมาย นี่แสดงว่า "ไทยสอนให้แขมร์นับถือพุทธ (เถรวาท)" และแขมร์ก็ยังถือตามไทยจนทุกวันนี้

นี่แค่ย่อหน้าเดียวของบทความในสื่อแขมร์ ผมยังต้องเหนื่อยเขียนจนยืดยาวขนาดนี้ ยัวไม่ต้องพูดถึงย่อหน้าอื่นๆ ที่มีแต่ความเพ้อฝันเข้าข้างตัวเอง

แต่เรื่องนี้สมควร "แก้ต่าง" หาไม่แล้วแม้แต่คนไทยก็จะเชื่อความมโนที่ไม่สมเหตุผลนี้ไปด้วย

หากมีโอกาสผมจะร่ายยาวเป็นข้อๆ อีก เพื่อสร้างการตระหนักรู้และ "องค์ความรู้" ของคนไทยเอาไว้ต่อสู้กับ "องค์ความรั่ว" ของพวกกัมพูเชี่ยน

บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - ประติมากรรมรูปพระเจ้าขี้เรื้อน (Le Roi Lépreux) ภาพถ่ายโดย Paul Gastaldy ปี 1931 อยู่ที่ Bibliothèque de l'ancien Musée des colonies

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The Better

"หลวงพ่ออลงกต" พ้นตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดยังอยู่ "สุชาติ" เร่งเคลียร์ปมเงินบริจาค-ทรัพย์สินวัด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กองทัพภาคที่ 1 แจงปฏิบัติการบ้านหนองจาน ยันปกป้องอธิปไตย ไม่ใช้อาวุธผลักดันทหารกัมพูชา

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่น ๆ

ทอดมองฟ้าชม ‘ทางช้างเผือก’ สว่างไสวยามราตรีในทิเบต

Xinhua

ศึกษาพบ ‘น้ำเสียจากห้องน้ำเครื่องบิน’ อาจช่วยเตือนภัย ‘เชื้อดื้อยา’ ระบาดทั่วโลก

Xinhua

เปิดวาร์ป ตำรวจหญิงแกร่ง สลัดเครื่องแบบ พลิกโฉมเป็นสาวหวาน สวยออร่าจนคนอึ้ง

Thaiger

ผลการศึกษาเผย คนอเมริกันเจน Z กว่า 77% พาพ่อแม่ไปสัมภาษณ์งานด้วย

เดลินิวส์

‘กัมพูชา’ โต้ไทย ‘ละเมิดอธิปไตยร้ายแรง’ จ่อฟ้อง ‘ฮุน เซน-ฮุน มาเนต’

The Bangkok Insight

ผลไม้ฉายา "น้ำตาลธรรมชาติ" หวานแต่ไม่อันตราย แถมประโยชน์เลิศ กินได้ทั้งสดและแห้ง!

sanook.com

คุณอ่านไม่ผิด! เน็ตไอดอลวัย 35 เป็นคุณยายแล้ว หลังลูกสาวของเธอ มีลูกตั้งแต่อายุ 16

sanook.com

นศ.พก "ของลับ" มาเล่นในหอ จู่ๆ เพื่อนเคาะห้อง ตกใจเผาทิ้ง "หนีอาย" ไฟลามรู้กันทั้งตึก!

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...