10 เทคโนโลยีที่ต้องจับตา พลิกโฉมธุรกิจในอนาคต!!
ในงาน “Thailand Tech Show 2025” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ได้มีการเปิดเผยถึง “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10Technologies to Watch 2025) ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เป็น “ดาวเด่น” พุ่งแรง ที่จะพลิกโฉมธุรกิจต่างๆได้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ เทคโนโลยีด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม, เทคโนโลยีหุ่นยนต์, AI และการเข้ารหัส และสุดท้ายคือเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพและการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เริ่มกันที่เทคโนโลยีแรก
1. ไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise Hydrogen)
หนึ่งในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนที่น่าจับตามองและเหมาะกับประเทศไทยซึ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างระบบท่อก๊าซได้ โดยนำก๊าซธรรมชาติมาผ่านการแยกสลายด้วยความร้อนเพื่อให้ได้ไฮโดรเจนโดยที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แถมยังให้ผลพลอยได้เป็นผงคาร์บอนที่นำไปใช้ต่อได้อีก ที่สำคัญยังใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว โดยเริ่มมีบริษัทผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ลดก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึง 99%
2. เหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)
อุตสาหกรรมเหล็กปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงทั่วโลกราว 7% ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมหนักทั้งหมด จึงมีแนวคิดการผลิต “เหล็กกล้าสีเขียวหรือเหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)” คือ เหล็กที่ผลิตโดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิม คือ BF-BOF ที่ใช้เตาหลอมแบบ Blast Furnace (BF) และ Basic Oxygen Furnace (BOF) มาสู่กระบวนการแบบใหม่ คือ “DRI-EAF (Direct Reduce Iron–Electric Arc Furnace)” นำพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้ในการผลิตเหล็กพรุน ก่อนนำมาหลอมรวมกับเศษเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้าระบบอาร์ก (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตจนได้เหล็กกล้าปลอดฟอสซิล ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อการผลิตเหล็ก 1 ตัน จาก 2,300 กิโลกรัม เหลือ 200-600 กิโลกรัม
3. เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice)
“การปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคการเกษตร การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอลปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรตน้อยลง โดยฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนจากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึง 70% และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่
4. หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ (Humanoid Robot)
หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัย เพราะมี “ความอเนกประสงค์” ไม่ว่าจะเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของแม่นยำ หรือแม้แต่เรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร ปัจจุบันมีการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์เพื่อนำไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ฯลฯ
5. ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI)
Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจนวางแผนดำเนินงาน และตัดสินใจเองได้ ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย ปัจจุบัน Agentic AI มีทิศทางการพัฒนาไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน หรือที่เรียกกันว่า AI Agent ซึ่งเริ่มนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงการเงินและการธนาคาร เช่น คัดกรองอีเมล ตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ ฯลฯ
6. การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC)
คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ ทำให้ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน เทคโนโลยี "การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม" จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นการสร้างกุญแจที่ถอดรหัสยากขึ้นกว่าเดิม โดยอัลกอริทึมเหล่านี้มักใช้ขนาดกุญแจหรือลายเซ็นที่ใหญ่ขึ้น
7. อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants)
Smart Implants คือ อุปกรณ์ฝังในร่างกาย ที่ทดแทนอวัยวะหรือช่วยการทำงานของอวัยวะบางส่วนแล้ว ยังตรวจวัดสัญญาณชีพ ประมวลผล และส่งข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ อุปกรณ์ประเภทนี้มักประกอบด้วยเซ็นเซอร์ขนาดเล็ก ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารไร้สาย และอัลกอริทึม AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีการใช้งาน Smart Implants ในหลายรูปแบบ เช่น อุปกรณ์กระตุ้นสมองส่วนลึก สำหรับผู้ป่วยพาร์กินสันที่ควบคุมอาการสั่นได้ และบางรุ่นสามารถตรวจจับคลื่นสมองเพื่อปรับแรงกระตุ้นได้อัตโนมัติ
8. เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment)
เทคโนโลยีด้านการแพทย์ ที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากจนล่วงรู้ถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน ช่วยเปิดเผยความเสื่อมของร่างกายและทำนายโรคได้แม่นยำขึ้น เช่น เทคโนโลยีเอพิเจเนติกที่ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ผ่านวิธีที่เรียกว่า นาฬิกาทางชีวภาพ วิธีที่นิยมคือการวิเคราะห์รูปแบบการเติมหมู่เมทิล (Methyl Group) บนตำแหน่งจำเพาะของ DNA เพื่อดูว่ายีนนั้นมีการแสดงออกหรือไม่ ทำให้รู้อายุขัยที่ "ตรงตามความเป็นจริง" นับเป็นข้อมูลที่ช่วยให้วางแผนปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล
9. เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals)
เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหากับกลไกหลักของความชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชราของผิว เช่น การลดจำนวนเซลล์ชรา หรือกระตุ้นการทำงานของยีนซ่อมแซมผิว และยืดอายุผิวออกไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขความชราในระดับเซลล์
10. แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody)
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เทคโนโลยีแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่กำลังได้รับการจับตาในฐานะเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งแบบให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้ด้วย
ทั้งหมดถือเป็นเทคโนโลยีที่ สวทช. คัดเลือกมาเพื่อเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง
จิราวัฒน์ จารุพันธ์