เปิดรายชื่อ "สินค้าส่งออกไทย" พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และโอกาสตลาดทดแทน หนีภาษีทรัมป์ 19%
เปิดรายชื่อ "สินค้าส่งออกไทย" พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เจอศึกภาษีทรัมป์ 19% และโอกาสตลาดทดแทน
ประเทศไทยโดนเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐอเมริกา ในอัตรา 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่สำคัญของไทย
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้เคยประเมินผลกระทบจากภาษีที่จะมีผลต่อการส่งออกของไทย และวิเคราะห์สินค้าส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งพิจารณาข้อมูลการส่งออกของไทยปี 2567 ในกลุ่มสินค้าระดับพิกัดศุลกากร (HS Code) 2 หลัก โดยพิจารณาจาก 4 มิติหลัก
ได้แก่
กลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯสูง
กลุ่มสินค้าพิเศษที่โดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐในอัตราสูง
กลุ่มสินค้าที่อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการ ซึ่งมีโอกาสที่จะโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯในอัตราสูง
กลุ่มสินค้าดาวร่วงที่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐให้กับประเทศอื่นๆ สะท้อนการชะลอตัวของความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
สำหรับกลุ่มสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดสหรัฐสูงสุด 12 อันดับแรก คือ
1.เฟอร์นิเจอร์ ที่นอน โคมไฟ
2.เครื่องดนตรี ส่วนประกอบและอุปกรณ์
3.เครื่องแต่งกาย ถักแบบนิตหรือแบบโครเชต์
4.เครื่องหนัง เครื่องใช้สำหรับเดินทาง กระเป๋าถือ
5.เครื่องแต่งกาย ที่ไม่ได้ถักแบบนิตหรือแบบโครเชต์
6.เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์
7.ของทำด้วยหิน ซีเมนต์ หรือวัตถุที่คล้ายกัน
8.ของเล่น เครื่องกีฬา เกม และอุปกรณ์
9.เครื่องมือ ของใช้ มีคม ทำด้วยโลหะสามัญ
10.โลหะสามัญชนิดอื่น
11.ของปรุงแต่งทำจากพืชผัก ผลไม้ ลูกนัต
12.เครื่องจักรกลและชิ้นส่วน
กลุ่มสินค้าไทยที่มีระดับการพึ่งพาตลาดสหรัฐสูงสุด
ได้แก่
เฟอร์นิเจอร์ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 53.8% มูลค่าส่งออก 976.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องดนตรี พึ่งพาตลาดสหรัฐ 42.2% มูลค่าส่งออก 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องแต่งกาย ถักฯ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 39.6% มูลค่าส่งออก 578.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องหนังฯ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 38.1% มูลค่าส่งออก 296.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องแต่งกาย ที่ไม่ได้ถัก ฯ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 35.6% มูลค่าส่งออก 276.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
*กลุ่มที่มีมูลค่าส่งออกในระดับสูง
เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าฯ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 34.3% มูลค่าส่งออก 17,503.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าเกษตรและอุตฯเกษตร พึ่งพาตลาดสหรัฐ 29.8% มูลค่าส่งออก 782.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เครื่องจักรกล ฯ พึ่งพาตลาดสหรัฐ 28.5% มูลค่าส่งออก 13,567.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อเสนอแนะต่อกลุ่มสินค้าส่งออกไทยที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบในตลาดสหรัฐฯ คือ
1.มาตรการช่วยเหลือกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ ภาครัฐควรเร่งประเมินกลุ่มสินค้าและอุตสาหกรรมที่มีความเปราะบางสูงต่อมาตรการภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐ โดยควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสินค้าที่มีระดับการพึ่งพาตลาดสหรัฐสูง เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี เครื่องแต่งกาย และเครื่องจักร รวมถึงสินค้าที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังของมาตรการ AD/CVD
2.มาตรการช่วยเหลือทางการเงิน
3.การพัฒนาเครื่องมือประกันความเสี่ยงด้านการค้า
4.การป้องกันการสวมสิทธิ
5.การสร้างความเข้มแข็งเชิงโครงสร้างให้กับระบบการส่งออกของไทยในระยะยาว
"สินค้าไทย" กับโอกาสตลาด "ส่งออก" ทดแทนสหรัฐฯ
แนวทางการพิจารณาหาตลาดส่งออกทดแทนสหรัฐสำหรับสินค้าส่งออกสำคัญที่ไทยส่งออกไปสหรัฐ 15กลุ่มแรก (ตามพิกัดศุลกากร 2 หลัก) ซึ่งคิดเป็น 90.1% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปสหรัฐ ในปี 2567 พบว่า ไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออก ได้ในหลายกลุ่มสินค้าที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับต้น ๆ หรือเริ่มเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดในตลาดอื่น ๆ อาทิ
ตลาดญี่ปุ่น
มีโอกาสขยายการส่งออกในกลุ่มสินค้าไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องส่งวิทยุโทรทัศน์ แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า จอมอนิเตอร์ เครื่องเล่นวิทยุ) กลุ่มเครื่องจักรกล (เครื่องพิมพ์ ตู้เย็น เครื่องจักรกลแบบตีนตะขาบ) กลุ่มยางและผลิตภัณฑ์ และกลุ่มยานพาหนะและชิ้นส่วน เป็นต้น
ตลาดทวีปยุโรป
ไทยมีโอกาสขยายการส่งออกไปยังเนเธอร์แลนด์ในหลายกลุ่มสินค้า 21 อาทิ กลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องรับ-ส่งเสียงหรือภาพ หม้อแปลงไฟฟ้า ชิ้นส่วนโทรศัพท์/อุปกรณ์ ส่งสัญญาณ ) กลุ่มเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ (เลนส์แว่นตา) ผลิตภัณฑ์จากเนื้อ ปลา หรือสัตว์น้ำ รวมทั้งสินค้า ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ตลาดอินเดีย
กลุ่มเครื่องจักรกล เครื่องใช้กล (เครื่องพิมพ์ เครื่องปรับอากาศ) ยางธรรมชาติ เครื่องประดับทำด้วยเงิน ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า
ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะแนวทางการกระจายความเสี่ยงสำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญไปยังสหรัฐ คือการลดการพึ่งพาการส่งออกไปยัง ตลาดสหรัฐและการขยายการ ส่งออกไปยังตลาดที่ไทยมีความได้เปรียบจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ ควบคู่ไปกับ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของการส่งออก ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังสามารถกระจายการส่งออกไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐน้อย และมีอัตราการเติบโตสูง ได้แก่ สหภาพยุโรป (EU) เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง และมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดี แม้ว่าเศรษฐกิจยุโรป จะเผชิญความท้าทายอยู่บ้าง แต่ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าอุตสาหกรรมยังคงมีอยู่สูง ไทยควรเร่งรัด การเจรจา FTA ไทย-EU เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ควรศึกษา ข้อกำหนดและมาตรฐานสินค้าของ EU อย่างละเอียด โดยเฉพาะประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Green Deal) เพื่อปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- นวัตกรรม "กระดูกเทียมไทเทเนียม" ช่วยทหารกล้าชายแดน
- “ทรัมป์” เดินหน้าลดคนภาครัฐ บีบออก 300,000 คน ในปีนี้ หวังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
- รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องยื่นภาษี เริ่มปี 2570 คลังเดินหน้า “Negative Income Tax” ชี้ใช้ข้อมูลแจกสวัสดิการรัฐ
- โมดี สู้ศึก "ภาษีทรัมป์" ด้วยชาตินิยม ปลุกกระแส "Make in India" หลังถูกขึ้นภาษีพุ่ง 50%
- สำรวจขั้นตอนคัดเลือกผู้ชนะ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" เมื่อ "ทรัมป์" หวังจะเป็นผู้ครอบครอง