คลังอนุมัติช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บาท พร้อมเงื่อนไขปฏิรูปการเกษตร พัฒนาตลาด-ลดพื้นที่ปลูกข้าว
พิชัย รมว.คลังเผยมาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมเงื่อนไขปฏิรูปการเกษตรระยะยาว 7-10 ปี ผ่านการพัฒนาตลาด และลดพื้นที่ปลูกข้าวลงเหลือ 60 ล้านไร่ จาก 75-76 ล้านไร่ เพื่อให้ชาวนาสามารถปลูกข้าวอย่างยั่งยืน
วันนี้ (13 สิงหาคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีคลัง เผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปีการผลิต 68 และข้าวนาปีปีการผลิต 68/69 โดยเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้แก่ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท แต่ไม่เกิน 10 ไร่ รวมใช้งบทั้งสิ้นกว่า 45,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เงินเยียวยาจะมีการจ่ายให้กับผู้ปลูกข้าวนาปรังก่อน ผ่านงบประมาณปี 68 ที่เหลืออยู่ เป็นเงิน 7,200 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 7 ล้านไร่ และมีผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 850,000 ครัวเรือน แต่ต้องผ่านการตรวจสอบอีกรอบ และผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน คาดว่าสามารถจ่ายได้เร็วสุดกันยายนนี้
ขณะที่ข้าวนาปีปีการผลิต 68/69 ยังไม่มีการปลูก แต่เตรียมใช้เงินตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ราว 37,900 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 36-37 ล้านไร่ 4 ล้านครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการเปิดให้ขึ้นทะเบียน และอาจต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีเคยมีมติไม่เห็นด้วยกับการอุดหนุนภาคการเกษตรลักษณะนี้ในปี 2566 เพราะต้องการให้ชาวนาสามารถ ‘รวยได้ด้วยตัวเอง’ แต่พิชัยกล่าวว่า การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นการอุดหนุนผ่านเหตุผลพิเศษ และเป็นการ ‘ยกเว้น’ ชั่วคราว
เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน อยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกซบเซา เกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวต่างมีหนี้สินเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้น หลังอินเดียกลับมาเริ่มส่งออกข้าวขาวเมื่อช่วงกันยายน 2567 จนราคาข้าวร่วงลงต่ำถึง 5,000-6,000 บาท
ทั้งนี้ เพื่อให้ชาวนายืนได้ด้วยตัวเอง ที่ประชุมจึงได้วางเงื่อนไข 2 ประการคือ จะไม่สนับสนุนเยียวยาพันธุ์ข้าวที่ไม่เป็นที่ต้องการในตลาด และเสนอให้เกษตรกรต้องลดพื้นที่การเพาะปลูก จาก 75-76 ล้านไร่ในปัจจุบันให้เหลือประมาณ 60 ล้านไร่ โดยจะเว้นช่วงเวลาให้ปรับตัว
นอกจากนี้ พิชัยยังกล่าวถึงเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาราว 7-10 ปี เพื่อหวังว่าท้ายที่สุดแล้ว เกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวได้อย่างยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากภาครัฐอีกต่อไป
ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถ ผ่านการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าข้าวได้อีก 30% นอกจากนี้ ยังสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯร่วมกันพัฒนาตลาด ผ่านการสำรวจอุปสงค์ของเมล็ดพันธุ์ข้าวแต่ละชนิด รวมถึงลดบทบาทพ่อค้าคนกลาง เพื่อให้ราคาข้าวถึงมือเกษตรกรมากขึ้น