เปิดเหตุผล ทำไม กนง. ลดดอกเบี้ยรอบนี้? สู่ระดับ 1.50% ต่ำสุดรอบ 2 ปี 5 เดือน พร้อมส่งสัญญาณ ‘หั่นได้อีก’

กนง. ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ‘ได้อีก’ เหตุไทยเคยลงถึง 0.5% มาแล้ว แต่ยืนยันไม่เรียกว่า เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง พร้อมเตือน Policy Space กำลังสำคัญมากขึ้น เหตุพื้นที่จำกัดลง เผยปัจจัยหั่นดอกเบี้ยรอบนี้มาจากห่วง ‘กลุ่มเปราะบาง’ ที่ได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Tariff) ภาวะสินค้านำเข้าทะลัก (Import Flooding) และสินเชื่อที่ตึงตัว หวังธนาคารพาณิชย์เร่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม

วันนี้ (13 สิงหาคม) ดร.สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568 โดยอธิบายว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.50% ต่อปี แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี 5 เดือน หรือตั้งแต่มีนาคม 2566 มีเหตุผลหลักมาจากการฟื้นตัวของกลุ่มเปราะบาง รายย่อย และ SME มีความยากลำบาก และได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Tariff) ภาวะสินค้านำเข้าทะลัก (Import Flooding) และสินเชื่อที่ตึงตัว ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงอยากทำให้มั่นใจว่า ภาวะการเงินของกลุ่มเปราะบางจะผ่อนคลายมากขึ้น

พร้อมทั้ง ยืนยันว่า การประเมินเศรษฐกิจภาพรวมต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการประชุมรอบก่อน ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า โดยธปท. ยังไม่ได้มีการปรับประมาณการ GDP แต่อย่างใด แม้สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ใหม่ โดยกำหนดในภาษีไทยอยู่ที่ 19% เนื่องจาก กนง.รอบนี้ไม่ได้เป็นรอบการปรับประมาณการ

“การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปในครั้งนี้ เราหวังผลคือ ต้องการที่จะให้ภาวะการเงินโดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความยากลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น SME กลุ่มรายได้น้อยปรับตัวดีขึ้น”

ส่งสัญญาณลงดอกเบี้ยได้อีก เหตุไทยเคยลงถึง 0.5% มาแล้ว

ดร.สักกะภพยังระบุในงานแถลงข่าวว่า อัตราดอกเบี้ยยังลงได้อีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยอยู่ระดับต่ำสุดที่ 0.5% แต่กระนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงถึงจุดนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจภาพรวมตอนนี้ไม่ได้แย่เหมือนช่วงโควิดที่ GDP ติดลบ

พร้อมทั้งเตือนว่า เมื่อถึงจุดที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ ประสิทธิผลการส่งผ่านก็จะลดลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ เห็นจากหลักฐาน (Evidence) ไม่เฉพาะในประเทศไทย แต่ในต่างประเทศก็เห็นเช่นกัน

ยืนยัน ธปท. ยังไม่เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ชี้ Policy Space กำลังสำคัญมากขึ้น

ดร.สักกะภพ ยืนยันว่า การลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ ยังไม่ถือว่า เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง (Easing Cycle) เนื่องจากการเข้าสู่วัฏจักรดังกล่าว หมายความว่า เศรษฐกิจต้องแย่อย่างมาก

นอกจากนี้ ณ ปัจจุบัน คณะกรรมการฯ ก็เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับผ่อนคลาย (Accommodative) ค่อนข้างพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูพัฒนาการต่างๆ (Development) โดยถ้าเศรษฐกิจไทยโดน Shock รุนแรง การเก็บพื้นที่ในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ

“ครั้งนี้ กนง.คิดว่า เหมาะสมที่จะใช้ Space นี้เพื่อช่วยดูแลกลุ่มที่มีความเปราะบาง แต่แน่นอน เมื่อลดไปแล้ว ประเด็นเรื่อง Policy Space นี้ก็จะเริ่มมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นจุดที่คณะกรรมการฯ จะต้องชั่งน้ำหนักมากขึ้นในแง่ของการที่จะลดลงดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป” ดร.สักกะภพ กล่าว

ดร.สักกะภพ ยังเผยว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ปัจจุบันก็จะใกล้เคียงกับ 0% พร้อมอธิบายว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงขึ้นอยู่กับตัวชี้วัด (Indicator) ต่างๆ รวมถึง คาดการณ์เงินเฟ้อ โดยถ้าใช้เงินเฟ้อคาดการณ์ที่อยู่ที่ 1% กว่าๆ Real Interest Rate ปัจจุบันก็จะใกล้เคียงกับ 0% ซึ่งถือเป็นระดับที่ผ่อนคลายแล้ว

ยืนยันเศรษฐกิจมีโอกาส ‘ถดถอย’ ต่ำ

ดร.สักกะภพ ยังยืนยันว่า มุมมองต่อความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Technical Recession) ซึ่งหมายความว่า GDP ติดลบ QoQ สองไตรมาสติดต่อกันขึ้นไป ยัง ‘ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม’ คือ มีโอกาสเกิดในครึ่งหลังของปี 2568 แต่ว่าในมุมมองของธปท. ไม่ได้ให้น้ำหนักว่าจะเกิดมาก นอกจากนี้ ยังเห็นว่า IMF และสำนักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ที่ก็ได้มีการปรับขึ้นประมาณการแล้ว

พิจารณาปัจจัยการเมืองและปมขัดแย้งกัมพูชาเข้าไปแล้ว

ดร.สักกะภพ กล่าวว่า ได้นำปัจจัยทางการเมืองและปฏิทินทางการเมืองต่างๆ เข้าไปในสมมุติฐาน (Assumption) แล้วในส่วนที่เป็นความเสี่ยง แต่ไม่คิดว่า จะเกิดความเสี่ยงใดๆ ในกรณีฐาน (Baseline)

“มีการพูดคุยกันในที่ประชุมถึงความเสี่ยงในแง่ของการเบิกจ่ายของภาครัฐและงบประมาณ แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะเกิดการหยุดชะงัก ในกรณีฐาน (Baseline)”

นอกจากนี้ ธปท.ได้รวมผลกระทบจากเหตุความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาเข้าไปในประมาณการส่งออกแล้ว โดยประเมินว่า ผลกระทบหลักจากความขัดแย้งนี้จะอยู่ที่การค้าชายแดน ในไตรมาส 3 เป็นหลัก ส่วนผลกระทบอื่นๆ ระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ได้มาก ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนระหว่างกัน จำนวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันก็ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น

ไทยไม่เข้าทั้งภาวะเงินฝืด (Deflation) และภาวะเงินเฟ้อลดลง (Disinflation)

ดร.สักกะภพกล่าวอีกว่า ไม่ได้คาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ พร้อมยืนยันว่า ไทยยังไม่เข้าทั้งภาวะเงินฝืด (Deflation) และภาวะเงินเฟ้อลดลง (Disinflation) เนื่องจากถ้าเกิดเงินฝืด จะต้องเห็นการลดลงของราคาในวงกว้าง นอกจากนี้ เงินเฟ้อพื้นฐานก็ยังค่อนข้างใกล้เคียงกับที่ ธปท.เคยประเมินไว้คือ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ พร้อมทั้งมองว่า เงินเฟ้อที่ต่ำมีปัจจัยทางด้านอุปทานเป็นหลัก

หวังธนาคารพาณิชย์เร่งลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม

ดร.สักกะภพ กล่าวอีกว่า คาดหวังว่า ในการปรับดอกเบี้ยของกนง.รอบนี้ ทางธนาคารพาณิชย์ก็จะมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตาม หลังเห็นการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปที่ดอกเบี้ยเงินกู้เริ่มชะลอตัว

“ถ้าเราดู 3 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ได้แก่ ตุลาคม 2567 กุมภาพันธ์ 2568 และเมษายน 2568 การส่งผ่านนโยบายอยู่ที่ประมาณ 43% ใกล้เคียงกับในช่วงโควิดที่ราว 40% แต่ต้องยอมรับว่า ในการลดครั้งสุดท้าย การส่งผ่านน้อยกว่า การลงดอกเบี้ย 2 ครั้งแรก” ดร.สักกะภพ กล่าวต่ออีกว่า “คิดว่า แบงก์พาณิชย์ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว แต่อยากจะให้มองว่า เรื่องการส่งผ่านนโยบาย ไม่ใช่แค่ดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่เป็นมาตรการในการช่วยเหลือลูกหนี้อื่นๆ ด้วย”

กรุงศรีฯ เผยเงินบาทแข็งค่า คาดกนง.จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อยอีกครั้ง

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยหลัง กนง. ประกาศลดดอกเบี้ย ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ 32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ยังมองว่า สำหรับการประชุม กนง. ในครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นวันที่ 8 ตุลาคม 2568 จากแถลงของ กนง. ในวันนี้มีท่าทีระมัดระวังอย่างชัดเจน โดยมองว่าควรผ่อนคลายนโยบายทางการเงินมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าสภาวะทางการเงินเอื้ออำนวยและช่วยลดภาระให้กับกลุ่มเปราะบาง ขณะเดียวกันจำเป็นต้องดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อยอีกหนึ่งครั้งลงไปอยู่ที่ 1.25% ก่อนสิ้นปี 2568 เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ

กสิกรไทย คาดกนง. ลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง

สอดคล้องกับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดกนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เหลือของปีนี้

ประกอบกับในการประชุมรอบนี้ กนง. ระบุว่านโยบายการเงินในระยะข้างหน้าควรอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะที่คาดว่ากนง. คงจะยังให้ความสำคัญกับจังหวะในการปรับลดดอกเบี้ยท่ามกลางขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัดมากขึ้น และคงต้องติดตามการส่งผ่านของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาต่อต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง

นอกจากนี้ นับตั้งแต่การประชุมกนง. ครั้งถัดไป จะมีการเปลี่ยนผู้ว่าการธปท. รวมถึงกรรมการบางรายด้วย