MEDEZE ปักธงครึ่งหลังปี 68 สดใส! แย้ม “อย.” ไฟเขียววิจัยฟื้นฟูผิว-เข่าเสื่อม
นายวีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังปี 2568 คาดการณ์จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3–4 ปี 2568 ที่ลูกค้าจะเริ่มกลับมาหลังชะลอการใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 และความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยจะเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการ Sandbox ปัจจุบันเริ่มดำเนินงานไปแล้ว ซึ่งใช้เงินส่วนตัวขับเคลื่อนโครงการให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง
โครงการ ATMPs Sandbox อาคาร ศูนย์การแพทย์บางรัก ที่มีแผนแล้วเสร็จตามเป้าหมายในวันที่ 15 กันยายน 2568 ซึ่งโครงการนี้ได้รับการลงนามรับรองโดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ให้ตึกศูนย์การแพทย์บางรักเป็น National ATMP แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้การดูแลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีกำหนดเปิดอาคารอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือน ตุลาคม 2568
สำหรับปี 2569 จะเริ่มมีการดำเนินงานจริงจัง ซึ่งคาดการณ์ว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่ม อาทิ ค่าใช้จ่ายการจ้างแพทย์ช่วยดำเนินการ เก็บข้อมูล และติดตามผลโดยหากดำเนินการวิจัย 5 โรค งบรวม 50 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ต้องใช้ต่อการทำวิจัยโรคราว 10 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่า เช่น ศูนย์การแพทย์บางรักที่คิดค่าเช่าราวปีละ 5 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยงบประมาณต่อหนึ่งโครงการวิจัยอยู่ที่ราว 10–15 ล้านบาท ซึ่งตัวเลข 15 ล้านบาท จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าประกันภัย ค่าสถานที่ ค่าใช้จ่ายด้านงานวิจัย ค่าตอบแทนอาสาสมัคร และค่าใช้จ่ายด้านเซลล์ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจริงของบริษัทมักอยู่ใกล้ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากย้อนหลับไปเป้าหมายของรัฐบาลตั้งแต่ต้น คือ ภายในปี 2568 บริษัทจะต้องดำเนินโครงการวิจัยให้ครบทั้ง 5 โครงการ ครอบคลุมการวิจัย 5 โรค ให้เสร็จสิ้นตามแผนเดิมคือเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนยาได้ภายในไตรมาส 3–4 ของปี 2569 แต่เกิดมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องการให้อนุมัติให้ดำเนินจาก 2 โครงการวิจัยก่อนเดือนตุลาคม 2568 ได้แก่ โครงการฟื้นฟูสภาพผิว (Skin Rejuvenation) และโครงการฟื้นฟูข้อเข่าเสื่อม
ส่วนการวิจัยการฉีดเพื่อชะลอวัยทางหลอดเลือดดำและการฟื้นฟูกระดูกสันหลัง คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569 ตามมาด้วยโครงการ NK Cell ภายในไตรมาส 1/2569 ทั้ง 5 โครงการวิจัยจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2569 และยังมีโครงการต่อเนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข เช่น การวิจัยรักษาไตแข็ง คาดว่าบริษัทจะดำเนินการวิจัยได้ปีละราว 4 โครงการ หรือใช้งบประมาณไม่เกิน 60 ล้านบาทต่อปี
“เมื่อโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้น คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนและคณาจารย์แพทย์จะทราบแนวโน้มผลการวิจัยเบื้องต้นล่วงหน้า บริษัทจึงมีแผนประชาสัมพันธ์ผลวิจัยล่วงหน้า เพื่อให้ตลาดเตรียมความพร้อมสำหรับการให้บริการ” นายวีรพล กล่าว
อีกประเด็นที่น่าสนใจที่ถือเป็นเรื่องดี คือ บริษัทคาดว่าในปี 2569 จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกประมาณ 2–3% จาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หลังลงทุนโครงการเกี่ยวกับเลือดสายสะดือ นอกจากนี้ เมื่อถึงปี 2570 หากรายได้บริษัทเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง บริษัทคาดการณ์ว่าจะลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะได้นำระบบโรบอติกมาใช้ในกระบวนการผลิตทั้งหมด