"กรวีร์" สอนมวย "ภูมิธรรม-เดชอิศม์" ทำขึงขังสั่งเพิกถอนเขากระโดงด่วนใน 2 วัน
"กรวีร์" สอนมวย "ภูมิธรรม-เดชอิศม์" ทำขึงขังสั่งเพิกถอนเขากระโดงด่วนใน 2 วัน ผ่านมาเกือบเดือนไม่คืบ ย้ำ หน่วยงานรัฐยัน ไม่มีอำนาจเพิกถอน กรณี รฟท.ชนะ 30 คดี เป็นเรื่องเฉพาะราย เหมารวมยกทั้ง5 พันไร่ไม่ได้ ฟันธงเป็นเรื่องเอาคืนทางการเมือง
วันที่ 20 ส.ค. 2568 ที่ รัฐสภา นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลการประชุมกมธ.กรณีข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับ กรมที่ดิน ว่า ที่ประชุมได้เชิญตัวแทนกระทรวงมหาดไทย, รฟท.,กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ เข้าชี้แจงเกี่ยวกับการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์พื้นที่บริเวณเขากระโดง ซึ่งหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ว่าในวันที่ 2 ส.ค. จะมีการเพิกถอนที่ดินบริเวณเขากระโดงทั้งหมด แต่มาถึงวันนี้เกือบจะ 1 เดือนแล้ว ยังไม่มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือจริงๆแล้วไม่มีอำนาจเพิกถอนตามคำสั่งของรัฐมนตรี ซึ่งหน่วยงานทุกฝ่ายยืนยันชัดเจนว่า ทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.มหาดไทย และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช. มหาดไทย ที่กำกับดูแลกรมที่ดินไม่มีอำนาจใดในการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่เป็นของประชาชน โดยตัวแทนกระทรวงมหาดไทยทุกฝ่ายยืนยันเหมือนกันหมดว่า ตามกฎหมายไม่ได้มีอำนาจ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องทางกฎหมายแต่เป็นเรื่องการเมือง
นายกรวีร์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมถามว่าทำไมกรมที่ดินไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกาที่มีการชนะคดีกับประชาชน 30 กว่ารายที่ต่อสู้กับการรถไฟ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาชี้ชัดว่าที่ดินบริเวณนั้นเป็นของการรถไฟ จึงมีคำถามว่าอีก 5,000 กว่าไร่ ทำไมกรมที่ดินถึงไม่ไปเพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้วยึดคืนเป็นที่ของหลวง เรื่องนี้ก็ได้รับความชัดเจนว่า คำสั่งของศาลเป็นคำสั่งที่ผูกพันเฉพาะ 30 กว่าราย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นที่ 5,000 กว่าไร่ ของเจ้าของที่ดินอีกกว่า900 ราย จึงอย่าตีขุม ว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาที่บอกว่าเป็นที่ของการรถไฟนั้น ไม่สามารถไปบังคับใช้กับที่ดินแปลงอื่นๆอีก 5,000 กว่าไร่ ส่วนการจะเอาที่ดินบริเวณเขากระโดงคืนกลับมาเป็นที่ของรัฐ และเชื่อว่าเป็นที่ของการรถไฟจะต้องทำอย่างไรนั้น ทางกมธ.เห็นว่า หากมีแผนที่จริง แล้วมีคำพิพากษาที่เป็นคุณกับการรถไฟทำไมไม่ไปไล่ฟ้องทีละแปลงเพื่อเรียกคืนที่ดินให้กลับมาเป็นของหลวง ทางการรถไฟชี้แจงว่า ถ้าการรถไฟไปไล่ฟ้องรายแปลงจะใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายมาก รวมทั้งเป็นภาระกับประชาชนด้วย จึงไปฟ้องที่ศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์และโฉนดต่างๆ ตามคำพิพากษา
“ทางการรถไฟไปฟ้องใน 4 ประเด็น แต่ศาลปกครองรับฟ้อง 2 ประเด็น คือ ขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ที่ให้ยุติเรื่องตามมาตรา 61 และขอให้เพิกถอนคำสั่งอุทธรณ์ของปลัดกระทรวงมหาดไทยแต่ประเด็นที่ไม่รับฟ้อง คือเรื่องขอให้กรมที่ดินไปเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ 5,000 กว่าไร่ และขอให้ไปเรียกคืนที่ดินแปลงอื่นๆ ที่เป็นของการรถไฟ ที่สามารถพิสูจน์ได้ให้กรมที่ดินไปเพิกถอนทั้งหมด ดังนั้นเรื่องนี้คงจะเป็นโอกาส ทั้งกรมที่ดินและการรถไฟ จะได้พิสูจน์สิทธิ์ ทั้งนี้การรถไฟยอมรับว่า แผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาไม่ได้บ่งชี้ชัดว่า เป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนที่ไม่คัดค้านในชั้นศาลฎีกา ทางกรมที่ดินชี้แจงว่า คดีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับการรถไฟ กรมที่ดินไม่ได้เกี่ยวข้องในคดี ดังนั้นเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ศาลพิจารณาจากเอกสารแนวเขตของการรถไฟแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้พิจารณาจากเอกสารสิทธิ์ต่าง ๆ ของกรมที่ดิน การต่อสู้คดีตรงนี้ในชั้นศาลปกครองน่าจะได้รับความกระจ่างและชัดเจนมากขึ้น โดย กมธ.ได้ย้ำให้หน่วยวารรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้ตามกฎหมาย ไม่ใช่ข้อคำสั่งทางการเมือง โดยยึดหลักความเป็นธรรมต่อประชาชนที่เขาได้เอกสารสิทธิ์และโฉนดมาโดยสุจริต ซึ่งกระทรวงมหาดไทย บอกว่าสิ้นสุดปลายทาง ถ้าหากมีการพิจารณาแล้วว่าที่ดินตรงนี้เป็นของการรถไฟจริง และต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ประชาชนที่ได้รับโฉนดที่ดินมาโดยชอบก็จะได้รับสิทธิ์ในการเยียวยาและชดเชยด้วย จึงขอฝากถึงรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย การให้ข่าว แล้วมีข้อสั่งการใดๆ ที่ขึงขังว่า จะต้องยึดเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ต่างๆ วันนี้เราทราบแล้วว่าในข้อกฎหมายมันทำไม่ได้ เพราะจากการสอบถามกรมที่ดิน อธิบดีที่ดินคนใหม่ ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ถ้ามาปฏิบัติหน้าที่แล้ว คงไม่มีอำนาจในการเพิกถอน ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย" นายกรวีร์กล่าว