พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : ความชุลมุนหลังคำตัดสิน
กว่าบทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์ พลวัตการเมืองไทยคงไปไกลขึ้นกว่าที่ผมได้บันทึกและให้ความเห็นไว้ในนี้
แต่ด้วยสภาวะบังคับในกระบวนการจัดพิมพ์ต้นฉบับ ก็เลยจำต้องให้ความเห็นเอาไว้ด้วยข้อจำกัดมากมาย
บทเรียนสำคัญในการเมืองไทยในห้วงขณะของการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การสิ้นสุดสถานะของนายกฯแพทองธาร และคณะรัฐมนตรีปัจจุบัน ทำให้เราได้เห็นและเรียนรู้หลายประการ
ประการแรก สังคมไทยและสื่อให้ความสนใจกับการทำนายผลมากที่สุด และเป็นการให้ความสนใจโดยไม่ค่อยถกเถียงกันเลยว่าการตีความ หรือรากฐานการอ้างอิงในเรื่องการตีความว่าการผิดจริยธรรมขั้นร้ายแรง หรือขั้นรุนแรงนั้น มันคืออะไร
เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับแนวคิดที่เชื่อว่า เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายกฯแพทองธารเป็นปริมณฑลทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง
จนหลายคนก็ไม่ได้สนใจว่าเมื่อพูดว่าปริมณฑลนี้เป็นเรื่องทางการเมืองก็จะต้องเกี่ยวพันกับสำนึกและความพร้อมรับผิดทางการเมืองด้วย ต่อให้ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญมาเกี่ยวข้องก็ตาม
การยุบสภาหรือลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หรือพิสูจน์ตัวเองของผู้นำประเทศไม่เคยอยู่ในสมการตั้งแต่ต้น
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาการยุบสภาของไทยน้อยครั้งมากที่ผู้นำในอำนาจในช่วงเวลานั้นสามารถยึดกุมสภาวะการนำได้ ส่วนใหญ่ยุบสภาเกิดจากการเพลี่ยงพล้ำหรือถดถอยทางการเมืองมากกว่า
ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่เข้ามาแทรกแซง ก็ยังเกิดคำถามโดยกว้างในเรื่องของความชอบธรรม เสถียรภาพ และความเชื่อมั่นของประชาชนและพรรคร่วมอยู่ดี
ไม่นับเรื่องสถานการณ์ที่ชายแดน ซึ่งรวมไปถึงการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับทหารเป็นเรื่องหลักด้วย
อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ได้สนใจเรื่องบทบาทและความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญเอง เพราะเชื่อไปก่อนแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญคือทางออกของปัญหาที่เป็นอยู่โดยไม่ต้องสงสัยถึงที่มาที่ไปของตัวศาลรัฐธรรมนูญเอง ทั้งที่การพิพากษาเรื่องนี้มันไปเชื่อมโยงกับแนวคิดที่ไม่ได้อยู่ในตัวกฎหมายโดยตรง แต่เต็มไปด้วยข้อถกเถียงนานัปการ นั่นคือความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ และจริยธรรมในการดำรงตำแหน่งหน้าที่
สาระสำคัญในสื่อจึงเป็นแค่เชิญนักวิชาการ หรือนักการเมืองทั้งฝ่ายที่สนับสนุน หรือไม่อยู่ข้างเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาตัดสิน เหมือนรายงานผลบอล หรือผลเลือกตั้ง มากกว่ามาถกเถียงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันควรถูกพิจารณาอย่างไร และถ้าเกิดสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่มีกลไกแบบศาลรัฐธรรมนูญ ประชาชนจะผลักดันเคลื่อนไหวอย่างไรให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เพราะคนที่อยู่ในอำนาจต้องการรักษาอำนาจมากกว่าจุดมุ่งหมายอื่น
ประการที่สอง นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับการทำนายผล สื่อและสังคมให้ความสนใจในเรื่องคำตัดสินในฐานะที่เป็นเรื่องของ “ดีล” หรือข้อตกลงลับระหว่างเพื่อไทยกับอะไรสักอย่างที่ไม่รู้ว่าจะระบุว่าคืออะไร
ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าดีลมีจริงหรือไม่มีจริง แต่ความหมกมุ่นสนใจว่าการเมืองไทยถูกขับเคลื่อนด้วยดีลที่ใหญ่กว่าพันธะสัญญาที่ให้กับประชาชนนี้เป็นเรื่องที่น่าห่วงมากสำหรับการเมืองแบบประชาธิปไตย
ด้วยว่าไม่ได้สนใจว่าประชาชนกับรัฐบาลควรจะดีลกันอย่างไร และดีลนั้นจะเรียกคืน หรือปรับปรุง หรือตรวจสอบ และปรับเปลี่ยนได้อย่างไร
การหมกมุ่นแต่ความเชื่อว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องของดีล ทำให้เราไม่คิดว่า ดีลที่เรามองไม่เห็นมันปรับเปลี่ยนได้ไหม มันเป็นดีลที่สมบูรณ์เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ได้ และเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงไหน
การหมกมุ่นแต่เรื่องว่าทุกเรื่องดีลกันมาก่อนแล้ว ทำให้การทำงานที่ผ่านมาไม่ต้องสนใจเรื่องของภาวะผู้นำ สมรรถนะ และผลสัมฤทธิ์ในการบริหารงาน และนำพาสังคมไปสู่ทิศทางไหน
เท่าที่มีดีลเป็นคำตอบปลายอุโมงค์ ก็ไม่ต้องคิดหาคำตอบอะไรทางอื่น
การลุ้นผลการตัดสินจึงไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาสาระและมุมมองที่แตกต่าง หรือเหมือนกันของคณะตุลาการ หรือมุมมองในทางวิชาการใดๆ เพราะสุดท้ายผลที่ออกมาก็คือเชื่อว่า มันสะท้อนถึงดีล หรือไม่ก็เชื่อว่าดีลมันเปลี่ยนแล้ว ดีลไม่สำเร็จ ดีลโดนล้ม
ทั้งหมดวนเวียนกับสมมุติฐาน หรือความเชื่อที่ตรวจสอบไม่ได้ (จะด้วยเงื่อนไขใดๆ ก็ตาม) ว่าจุดตั้งต้นคือดีลนั่นแหละครับ
และสุดท้ายในข่าวการเคลื่อนไหวในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ก็ยังเต็มไปด้วยประเด็นเรื่องดีลอีก แม้ว่าอาจจะเป็นดีลคนละระดับกัน
ความท้าทายจึงอยู่ที่ว่าการพูดถึงดีลในบางมิติมันเป็นเรื่องที่พ้นจากการตรวจสอบของสังคม และสร้างคำถามถึงความโปร่งใส และการตั้งคำถามของสังคมถึงผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมืองว่าสอดคล้องต้องกับผลประโยชน์ของสังคมหรือไม่
ประการที่สาม เราไม่ได้ช่วยกันตั้งคำถามว่า จากวันนี้ไปสังคมจะเดินไปทางไหน อะไรคือเรื่องใหญ่ที่ต้องทำ อะไรคือฉันทาคติของสังคม ไม่ว่าจะปล่อยให้บริหารงานต่อไป หรือวาระสำคัญที่การเลือกตั้งที่ควรจะมาถึงเร็วกว่านี้ต้องมี
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในตอนนี้คือ ไม่มีรัฐบาลพลเรือนรัฐบาลใดได้เสนอแผนที่จะทวงคืน และจัดความสัมพันธ์ให้ชัด เกณฑ์ในเรื่องสถานการณ์ชายแดนกับกองทัพเลย ไม่มีทั้งแนวทาง ตัวบุคคล รูปแบบการทำงานที่ชัดเจน
รวมไปถึงเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ ที่ยังคาราคาซังในประเทศนี้
อะไรคือคำถามใหญ่ๆ ที่เราต้องมีหลังคำพิพากษาในครั้งนี้ที่มากกว่าแค่การจับขั้วตั้งรัฐบาลให้ได้
และคำถามที่ต้องถามถ้าเพื่อไทยและพวกจะพยายามอยู่ต่อ
ส่วนภูมิใจไทยและพวกที่พยายามตั้งรัฐบาลและอ้างว่าขออยู่ในอำนาจในระยะสั้นเพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้ง ในเวลาที่ผมเขียนงานนี้ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรได้บ้างที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจกลับสู่มือประชาชนในการเลือกตั้งมีประเด็นที่น่าติดตามตรวจสอบ และเป็นพันธะสัญญาที่ประชาชนเชื่อถือได้
จนถึงวันนี้สิ่งที่เห็นคือการดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายของนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีฐานจากเขตเลือกตั้งจากหลากหลายพื้นที่ และก๊วนแก๊ง
ทำให้เห็นอนาคตว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า โอกาสของการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้จะมีมากนัก หากการวางกลยุทธ์ในพื้นที่ทำได้ดี
จากสัดส่วนของบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อที่มีอยู่น้อยนิด โอกาสที่การเลือกตั้งจะถูกทำให้กลายเป็นการกำหนดวาระ และคัดเลือกบุคคลเข้ามาเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างของประเทศนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พรรคประชาชนอาจจะได้รับคะแนนบัญชีรายชื่อเป็นกอบเป็นกำ แต่ความเป็นไปได้ในแต่ละพื้นที่ในการได้รับชนะยังมีอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวพันกัน
รวมถึงในเวลานี้การคัดเลือกผู้สมัครของพรรคประชาชนก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าจะไม่เจอปัญหาเก่าๆ ที่เคยเจอมา ซึ่งในเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหาร่วมของทุกพรรค แต่ว่าพรรคอื่นอาจไม่ได้เป็นที่คาดหวังของประชาชนในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าไม่ได้ใช้กลไกของพรรคในการคัดเลือกผู้สมัครและกำกับดูแลผู้สมัคร แต่อาจใช้กลไกอื่น เช่นเครือญาติ หรือเครือข่ายความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ในพื้นที่มากกว่า
ส่วนพรรคภูมิใจไทย หากต้องการเป็นนายกฯในอนาคตหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า การจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนผ่านคะแนนนิยมของผู้นำของพรรคก็เป็นเรื่องสำคัญ หมายความว่าคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคไม่ควรจะได้น้อยจนเกินไปนัก หมายถึงว่าพรรคของตนจะต้องเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางมากกว่าที่เป็นอยู่
สำหรับพรรคเพื่อไทย อาจจะต้องยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วปรับโครงสร้างของพรรคเป็นการใหญ่ และพิสูจน์ว่าอุดมการณ์และโครงสร้างของพรรคจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใดได้บ้าง
แต่กระนั้นก็ตาม สิ่งที่จะยังเห็นเป็นเรื่องใหญ่ของการเลือกตั้งครั้งหน้าคือพรรคขนาดเล็กต่างๆ ที่ยังวนเวียนจับตัวกันไปมา และบรรดาบ้านใหญ่ที่ยังคงอิทธิพลในพื้นที่และสามารถไหลเข้าออกตามพรรคเล็กและอาจจะระดับกลางได้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนความเป็นจริงทางการเมืองอีกมากว่ากลไกรัฐที่เป็นอยู่ไม่สามารถทำงานได้ในพื้นที่จริงหากไม่เชื่อมต่อกับโครงสร้างอำนาจความเข้มแข็งของบางสถาบันในระดับท้องถิ่น ที่มีกลไกแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และการสนับสนุนในอีกรูปแบบหนึ่ง
ประการที่สี่ ความท้าทายในช่วงนี้ของการเมืองไทยอยู่ที่มิติเรื่องความเชื่อมั่น เสถียรภาพ และพันธสัญญาที่นักการเมืองกลุ่มต่างๆ ที่แข่งขันกันจัดตั้งรัฐบาลต้องมีให้กับสังคม ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องดี พรรคเพื่อไทยถ้าจะอยู่ต่อก็ต้องนำเสนอสิ่งนี้ให้ได้ พรรคภูมิใจไทยถ้าจะขึ้นมาเป็นทางเลือกก็ต้องนำเสนอทางเลือกอื่นๆ ให้ได้เช่นกัน ส่วนพรรคประชาชนเองก็ใช่ว่าจะพ้นจากการตั้งข้อคำถามจากสังคมในกรณีที่ผลจากการครองอำนาจต่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เป็นที่พอใจของผู้คนในสังคม
ประการที่ห้าซึ่งเป็นประการสุดท้าย ในช่วงนี้การโจมตีกันทางการเมืองอาจจะมีมากขึ้นสักหน่อยในพื้นที่สื่อต่างๆ ก็คิดว่าคงจะเป็นส่วนหนึ่งของความคาดหวังในสังคมที่มีกับอนาคตของบ้านเมือง
แต่ในอีกทางหนึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการแย่งชิงการสนับสนุนทางการเมืองของแต่ละฝักฝ่าย ที่ยังอยู่ในเกมของประชาธิปไตย แม้ว่าจะมีหลุดไปในมิติของการฟ้องร้องกันบ้าง
การอดทนอดกลั้นและแสวงหาทางออกในการจัดตั้งรัฐสภาภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นอยู่ก็คงจะเป็นหนทางเดียวที่พาสังคมออกไปจากวิกฤตที่เป็นอยู่
และยังคงจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้ และเป็นหนทางการตั้งรับในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในสังคมนี้ต่อไป
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : ความชุลมุนหลังคำตัดสิน
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th