จับสัญญาณเฟดลดดอกเบี้ย โอกาสของหุ้นตลาดเกิดใหม่
ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดเกิดใหม่หลายๆ ประเทศก็มีการทำจุดสูงสุดใหม่กันอย่างคึกคัก นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ดัชนี Dow Jones ปิดพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ที่พุ่งทะยานหลังจากที่ นาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ระบุระหว่างการประชุมJackson Hole คืนวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า มีความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนกันยายนนี้
ในส่วนของตลาดเอเชีย หุ้นจีนยังคงร้อนแรง ดัชนี Shanghai Composite พุ่งทำระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากเม็ดเงินภายในประเทศที่ไหลเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น
นอกจากนี้ กระแส “Made in China” ในภาคเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ยังดึงดูด Fund Flow ต่างชาติกลับเข้าตลาด หนุนให้ตลาดหุ้นจีนกลายเป็นตลาดหุ้นที่น่าจับตาในปีนี้
ทางด้านตลาดหุ้นเวียดนามเองก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง การปฏิรูปตลาดหุ้นเริ่มเห็นผลชัดเจน เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามามากขึ้น และจำนวนบัญชีนักลงทุนรายย่อยในประเทศเองก็เพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านบัญชีในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดปรับบวก และจากพฤติกรรมการลงทุนเหล่านี้มีโอกาสดันตลาดเติบโตได้ในระยะยาว
หุ้นไทยยังคงอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยแรงหนุนหลักไม่ได้มาจากการเก็งกำไรสั้นๆ แต่เชื่อมโยงกับ ภาพเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณฟื้น ทั้งการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การใช้จ่ายในประเทศที่ทรงตัวดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่ทยอยเดินหน้า ขณะเดียวกัน การที่ Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน ได้ช่วยลดแรงกดดันจากเงินทุนไหลออก ทำให้ Fund Flow ต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาอีกครั้ง
ภาพที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนว่าเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกไม่ได้กระจุกอยู่เพียงตลาดสหรัฐฯ อีกต่อไป แม้ว่าการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยกว่า 80% ของ S&P500 จะยังคงแข็งแกร่งและดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้แต่ด้วย valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มที่จะตึงตัวแล้ว ที่ประมาณ 22.4 เท่า
อีกปัจจัยสำคัญก็คือ Dollar Index ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการขายดอลลาร์แล้วก็ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ โดย fun flow จะไหลเข้าตลาดเอเชียเหนือก่อน เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นต้น เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าแล้วก็งบดุลของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งหลายตลาดก็มีการทำจุดสูงสุดใหม่กันไปแล้ว หลังจากที่ตลาดเอเชียเหนือเริ่มจะอิ่มตัวแล้วเงินลงทุนก็มีการเริ่มไหลกระจายไปยังภูมิภาคอื่น โดยจะไหลเข้าละตินอเมริกาแล้วก็มาที่เอเชียใต้ต่อ
ถ้าเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ยลงในเดือนกันยายนนี้จริง ก็จะเป็นปัจจัยบวกทั้ง 2 ตลาด กล่าวคือ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้รับปัจจัยบวก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ แล้วก็หุ้นกลุ่มเติบโตที่จะได้ประโยชน์จากต้นทุนเงินทุนที่ถูกลง ตามทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับตัวลง รวมถึงเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดเกิดใหม่ เพราะว่าดอกเบี้ยที่ลดลงก็มักจะทำให้ดอลลาร์อ่อน
แต่เม็ดเงินจะไหลไปหาตลาดที่ valuation ถูกกว่า จากสถิติในอดีตตลาดเกิดใหม่มักจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะที่ช่วงสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยตั้งแต่ปี 1990 สหรัฐฯ มีวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงประมาณ 7 รอบพบว่าโดยเฉลี่ย MSCI Emerging Market จะ outperfrom MSCI Develop Market อยู่ที่ประมาณ 15% แต่ว่าการลดดอกเบี้ยรอบนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
แม้ว่าตลาดจะมีความคาดหวังสูง ที่ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่จากข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะตัว Core PCE ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักในการพิจารณานโยบาย ปัจจุบันอยู่เกือบ 3% ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% อย่างมากและตัวดัชนีราคาผู้ผลิตหรือตัว PPI ที่ออกมาก็ช็อกตลาดซึ่ง PPI ที่สูงขึ้นก็เป็นการสะท้อนว่าต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตยังไม่ลดลง เราคงต้องจับตากันดูต่อว่าต้นทุนที่สูงขึ้นในฝั่งผู้ผลิตจะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภครึเปล่า ซึ่งมันจะสะท้อนในดัชนี CPI แล้วก็ PCE ในอนาคต
ผมมองว่ามีตลาดหุ้น 3 ประเทศที่มีความน่าสนใจครับ
ประเทศแรกก็คือจีน ดัชนี Shanghai Composite ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ไปในรอบ 10 ปีอันนี้ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่กลับมาแล้วก็มีการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยโดยนโยบาย Anti Involution จะมาแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดและภาวะเงินฝืด ถ้าสำเร็จได้ในระยะยาวก็จะนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการ EPS แล้วก็จะเป็นการปรับมูลค่า P/E ด้วย
ประเทศที่ 2 อินเดียก็มีความน่าสนใจแม้ว่าจะเผชิญภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่มูลค่าการส่งออกของอินเดียไปสหรัฐฯ ก็น้อยในระดับเลขหลักเดียวของมูลค่าสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งการที่รัฐบาลได้มีการประกาศมาตรการที่จะลดภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศรวมถึงมาตรการการกระตุ้นทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะหนุนให้ตลาดฟื้นตัว รวมถึงราคาหุ้นในตลาดอินเดียในปัจจุบันก็ดูจะสะท้อนข่าวร้ายไปค่อนข้างมากแล้วเหมือนกันบวกกับโอกาสการเติบโตสูงในระยะยาวของอินเดียก็มีความน่าสนใจในการลงทุน
ประเทศสุดท้ายยังเป็น เวียดนาม ที่เรายังเห็นศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว โดยล่าสุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพีในไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมาก็ประมาณเกือบๆ 8% ถือว่าสูงสุดในอาเซียนแล้วก็ยังมีแผนที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รวมถึงยังมีโอกาสที่จะได้ยกระดับจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งหากไม่มีอะไรสดุดก็จะดึงดูดเงินลงทุนได้เพิ่มมหาศาล
การเลือกคว้าโอกาสจากแต่ละประเทศเวลานี้นักลงทุนควรจัดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสม จริงอยู่ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสในการลงทุนอยู่แต่อาจจะต้องเลือกดูเป็นรายบริษัทคือเป็นบริษัทที่มีงบการเงินที่ออกมาดี และราคายังไปไม่แรงมาก อย่างเช่น หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ที่อาจพุ่งแรงไปแล้ว คุณอาจจะมองไปที่หุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็ก ก็คือยังมีหลายๆ บริษัทที่งบการเงินออกมาดีและยังมีความน่าสนใจในการลงทุนอยู่
อย่างไรก็ตามหากมองดูพอร์ตตัวเองแล้วพบว่ายังมีสัดส่วนหุ้นสหรัฐฯ มากเกิน 50% ผมแนะนำว่าควรใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นทำ new high อยู่เวลานี้ ขายทำกำไรบางส่วนเพื่อกระจายไปลงทุนในประเทศอื่นๆ
สำหรับสัดส่วนของตลาดหุ้นเกิดใหม่ ผมมองว่าสัดส่วนไม่ควรเกิน 40% เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เราแนะนำว่านักลงทุนควรจัดสัดส่วนการลงทุนในประเทศจีนไม่เกิน 15% ประเทศอินเดียไม่เกิน 15% และเวียดนามไม่เกิน 10% ครับ ที่เหลือยังควรลงทุนในหุ้นสหรัฐ และ Developed Markets ครับ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวครับ
โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ข่าวที่เกี่ยวข้อง