ผู้เลี้ยงสุกรวอนรัฐ ไม่เปิดตลาดหมูให้สหรัฐ ห่วงหมูเถื่อน-สารเร่งเนื้อแดงทำลายเกษตรกร
นายสิทธิพันธ์ เกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้รัฐบาลไทยจะมีการเจรจาดีลภาษีเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราภาษี 0% นับหมื่นรายการ แต่ในสินค้าหมูยังไม่เคยถูกเปิดตลาดให้กับสหรัฐตามเงื่อนไขนี้อย่างเป็นทางการ
“หมูยังไม่อยู่ในกรอบความตกลงทางการค้าครั้งนี้ ของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ไทยเปิดตลาดให้เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ตามความตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ก็มีแค่ผลิตภัณฑ์นมและเนื้อวัวเท่านั้น แต่เนื้อหมูยังไม่เคยถูกเปิดเลย ที่ผ่านมาที่เราเคยเปิดตลาดมีแค่เครื่องในหมูที่ผ่านการรับรองจากสเปนในปริมาณจำกัดเพื่อมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ กับหนังหมูที่ใช้ผลิตแคปหมูเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” นายสิทธิพันธ์ กล่าว
ที่ผ่านมาปัจจัยหลักที่ไทยยังไม่เปิดตลาดหมูให้สหรัฐ คือเรื่องของความปลอดภัยด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการใช้สารเบต้าอะโกนิสต์ หรือสารเร่งเนื้อแดงในหมูที่เลี้ยงในสหรัฐ ซึ่งเป็นสารต้องห้ามในไทยเพราะมีผลสะสมในร่างกายและอาจก่อให้เกิดอันตรายระยะยาว
“รัฐบาลไทยยังไม่เคยอนุญาตให้มีการนำเข้าหมูจากสหรัฐ หรือประเทศใดๆ ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเหล่านี้ สหรัฐเองก็ยังถูกห้ามใช้สารนี้ในการผลิตอาหารสัตว์ในไทยมาเกือบ 25 ปีแล้ว”
ส่วนกรณีข่าวภาครัฐของไทยจะเปิดให้หมูสหรัฐนำเข้ามาในสัดส่วนประมาณ 1% ของการบริโภคภายในประเทศ นายสิทธิพันธ์แสดงความกังวลอย่างมากต่อความไม่ชัดเจนของนโยบายนี้ โดระบุว่า ตนไม่มีความมั่นใจว่าภาครัฐจะสามารถควบคุมการนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะตอนนี้ยังมีปัญหาหมูเถื่อนลักลอบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้จะปิดตลาดนำเข้าหมูจากประเทศอื่นแล้วก็ตาม หากเปิดให้หมูสหรัฐเข้ามาแม้เพียง 1% ก็อาจทำลายวงจรอุตสาหกรรมปศุสัตว์และกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยอย่างรุนแรง
ในส่วนของภาพรวมเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู นายกสมาคมฯ เผยว่า ปัจจุบันมีเกษตรกรประมาณ 140,000-150,000 ครอบครัว จากเดิมที่เคยมีมากกว่า 200,000 ครอบครัว ก่อนเจอปัญหาโรคระบาด (โรค ASF หรือโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร)และหมูเถื่อนลักลอบนำเข้า
“หมูเป็นสินค้าที่อ่อนไหวมาก ราคาขึ้นลงได้เร็วภายในไม่กี่เดือน เนื่องจากระยะเวลาเลี้ยงหมูตั้งแต่แม่พันธุ์จนถึงหมูขุนส่งตลาดใช้เวลารวมประมาณ 2 ปี ส่วนการเลี้ยงหมูกว่าจะจับขายได้ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนซึ่งเกษตรกรต้องลงทุนและแบกรับความเสี่ยงในระยะยาว”
ด้านต้นทุนและราคาหมู นายสิทธิพันธ์เปิดเผยว่าปัจจุบันต้นทุนการผลิตหมูอยู่ที่ประมาณ 76 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาขายในตลาดอยู่ระหว่าง 60-72 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรยังขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงหนึ่งราคาหมูเคยพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 80 บาทต่อกิโลกรัม แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆเพียงเดือนเดียว และราคาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาหมูเถื่อนและปัจจัยฤดูกาล เช่น ฤดูฝนที่ส่งผลต่อการผลิต
นอกจากนี้ นายสิทธิพันธ์ ยังกล่าวถึงความร่วมมือภาคเอกชนรายใหญ่ที่ได้ร่วมกันเซ็นเอ็มโอยูหยุดการขยายปริมาณการเลี้ยงหมู เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยให้สามารถอยู่รอดในตลาด แต่ปัญหาที่แท้จริงคือแนวทางนโยบายภาครัฐที่ดูเหมือนจะเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมรายใหญ่โดยไม่คำนึงถึงภาคปศุสัตว์และเกษตรกรรายย่อยอย่างเพียงพอ
เขายืนยันจุดยืนว่าไทยไม่ควรเปิดตลาดหมูนำเข้าจากสหรัฐ เพราะจะทำลายความมั่นคงของอุตสาหกรรมในประเทศ และเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาผลกระทบต่อวงจรเศรษฐกิจและความปลอดภัยอาหารอย่างรอบคอบ
“เราผลิตอาหารปลอดภัยที่สุดในภูมิภาค ไม่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงในประเทศไทยมาเกือบ 25 ปีแล้ว การนำเข้าหมูที่ใช้สารเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”นายสิทธิพันธ์ กล่าวย้ำ