‘แม่ทัพภาคที่ 2’ เปิดใจ! เบื้องหลังเหตุปะทะ-ถูกฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแดนก่อน
"แม่ทัพภาคที่ 2" เปิดใจ! เบื้องหลังเหตุปะทะ-ถูกฝ่ายกัมพูชารุกล้ำแดนก่อน คาดฝ่ายกัมพูชาสูญเสียทหารมากกว่า 3,000 นาย เตือนประชาชนช่วยกันสอดส่องโดรนในทุกพื้นที่สำคัญ เชื่อฝ่ายตรงข้ามต้องการรู้พิกัดจุดยุทธศาสตร์
วันนี้ (10 ส.ค.) ที่สโมสรร่วมเริงชัย ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เป็นตัวแทนรับมอบเครื่องเวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภคบริโภคจาก นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
พร้อมกันนี้ยังได้รับมอบเครื่องอุปโภคบริโภค และโดรนจากภาคเอกชน เพื่อส่งมอบต่อไปให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมอบเงินสนับสนุนให้แก่กองทัพภาคที่ 2 จำนวน 300,000 บาท โดยมี ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ร่วมด้วย
พลโทบุญสิน บรรยายสรุปสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด ให้กับผู้ที่ร่วมมอบสิ่งของให้กับกำลังพลในครั้งนี้ว่า ตอนที่ตนเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ในเดือนตุลาคม 2567 ตนพบว่าฝ่ายกัมพูชามีการวางกำลังรุกล้ำเข้ามาจากเส้นเขตแดนไทยราว 100-150 เมตร นี่คือการล้ำเขตแดนครั้งแรกที่ตนไม่อาจยอมรับได้ และตั้งใจที่จะผลักดันให้ออกไป
แม้ฝ่ายไทยจะพยายามเจรจาให้ถอนกำลัง แต่ไม่เป็นผล ตนจึงตัดสินใจปิดด่าน ซึ่งได้รับคำยืนยันจากฝ่ายกัมพูชาว่า จะถอนกำลังหากเปิดด่าน แต่หลังจากการเจรจา และเปิดด่าน ทหารไทยกลับเหยียบทุ่นระเบิดที่ช่องบก
และต่อมาก็เกิดเหตุเหยียบกัมระเบิดซ้ำที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดใหม่ สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาไม่เคารพอนุสัญญาออตตาวา
สำหรับเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม ในอดีตเคยเปิดให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศขึ้นมาสักการะได้ แต่เกิดความวุ่นวายจนประชาชนไทย และกัมพูชามีแนวโน้มจะปะทะกัน ตนจึงตัดสินใจปิดปราสาท
การปิดครั้งนั้นเท่ากับการประกาศสงคราม นำไปสู่การยิงปะทะกัน โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยในช่วงระยะเวลา 4 วันที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไทยมีเป้าหมายที่ฝ่ายเราต้องปฏิบัติการอยู่ 11 ที่หมาย ซึ่งเกือบทุกที่หมายเรายึดครองได้ 100%
แต่ปราสาทตาควาย ฝ่ายกัมพูชาได้ตั้งฐานอยู่ใกล้ตัวปราสาท และมีการวางกับระเบิดไว้หน้าแนว ปราสาทตาควาย จึงยังเป็นปราสาทเดียวที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ห่างออกมาประมาณ 30 เมตร
ยังเข้าไปยึดในตัวปราสาทไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาวางกำลังเข้มแข็ง และภูมิประเทศเราก็เสียเปรียบ ซึ่งขั้นตอนต่อไปทั้งสองฝ่ายก็ต้องไปพูดคุยกันในระดับรัฐบาลว่า จะดำเนินการอย่างไรกันต่อไป
ทั้งนี้ ระหว่างการบรรยายสรุปสถานการณ์ ได้มีผู้ถามแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า เหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ กำลังพลฝ่ายกัมพูชาสูญเสียมากน้อยแค่ไหน แม่ทัพภาคที่ 2 ตอบว่า ไม่ต่ำกว่า 3,000 นาย ก็สูญเสียเยอะ เพราะเค้าเข้ามาทีละเยอะ ๆ ก็เห็นใจฝ่ายเขา แต่เขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำของเขา
สถานการณ์เรื่องโดรนขณะนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ โดรนบริเวณชายแดน และโดรนบริเวณพื้นที่ตอนใน โดรนที่ชายแดนเป็นเรื่องของยุทธวิธี ซึ่งทั้งฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชาก็มีเหมือนกัน ทุกวันนี้จะใช้โดรนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
อยากฝากไปทางรัฐสภาในเรื่องโดรน ซึ่งน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ของชาติได้ ส่วนเรื่องโดรนที่ขึ้นบินในพื้นที่ตอนใน ก็มีการจับกุมได้ทั้งคนไทย คนจีน และคนกัมพูชา ซึ่งก็มาในรูปแบบของฝ่ายตรงข้าม ที่จะต้องวางสายข่าวไว้ ในการเข้ามาหาที่ตั้งของสนามบิน บ้านผู้นำทางทหาร คลังกระสุน คลังระเบิด
ทางฝ่ายไทยได้แจ้งไปทางผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 20 จังหวัดในภาคอีสาน ทำงานบูรณาการร่วมกับตำรวจ จัดหาเครื่องมือแอนตี้โดรน และค้นหาบุคคลที่บินโดรนให้ได้
หากจับกุมคนบินโดรนได้ ทางตำรวจก็ต้องสอบสวนไปให้สุด อย่าเพิ่งปล่อยตัว และสรุปเร็วเกินไป เพราะตนเชื่อว่าคนที่บินโดรนใกล้กับสนามบิน และคลังอาวุธ ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา
ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะโดรนใช้หาข้อมูลพิกัดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และเขาก็จะสามารถตั้งพิกัดในขีปนาวุธได้ นี่ก็คือเหตุผลที่เขาบินโดรน เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว ในวันข้างหน้าอาจจะต้องมีบ้านใต้ดินไว้
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- กองทัพภาค 2 เปิดภาพทหารไทย ล้อมรั้ว 'ช่องอานม้า' ย้ำอธิปไตยไทย
- กองทัพภาค 2 เผย EOD ตรวจสอบ-ทำลายระเบิดตกค้างแล้ว 48 พื้นที่ เหลือ 59 พื้นที่
- ทอ. ยัน สื่อเขมรปล่อยข่าวปลอม กล่าวหาไทยเตรียมลอบสังหาร ฮุน เซน ด้วยอากาศยาน
ติดตามเราได้ที่