2 ปี ‘คดีชั้น 14’ กว่าความจริงจะปรากฏ!!
2 ปี ‘คดีชั้น 14’ กว่าความจริงจะปรากฏ!! 1 เดือน หลังจากศาลไต่สวนพยาน 31 ปาก ‘แพทยสภา’ ยันไม่ได้ป่วยวิกฤติ – รักษาแบบไป-กลับได้ – ‘วิษณุ’ไม่เคยชงขออภัยลดโทษ – นัด ‘ทักษิณ – ผบ.เรือนจำ กทม.’ ฟังคำชี้ขาด 9 ก.ย.
นี้
ประเด็นการบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สั่งจำคุก 3 คดีทุจริต รวม 8 ปี ยังไม่ทันได้นอกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แม้แต่คืนเดียว ปรากฏว่าในช่วงกลางดึกของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณเกิดอาการป่วยวิกฤติจนต้องนำตัวส่งที่ห้องพักชั้นที่ 14 โรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นนักโทษชายรายนี้ก็ไม่ได้กลับมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯอีกเลย หลังจากที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจำคุกเหลือ 1 ปี และต่อมาได้รับการพักโทษตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
คดีนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง เมื่อนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 3 ครั้ง เพื่อขอให้ศาลไต่สวนการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วหรือไม่
ยื่นคำร้องครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 นายชาญชัย ขอให้ศาลฎีกาฯ ตรวจสอบเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ กรณีส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น ไม่ได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ปรากฏศาลยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า “หลังจากศาลออกหมายจำคุกไปแล้ว การบังคับโทษ และอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ส่วนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลฎีกาแห่งนี้”
ยื่นคำร้องครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นายชาญชัย ขอให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อกฎหมาย กรณีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และกรมราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจ โดยอาศัยกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 อาจขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ที่กำหนดให้กรมราชทัณฑ์ หรือ ผู้บัญชาการเรือนจำ ต้องทำเรื่องไปขออนุญาตศาล อีกทั้งกฎกระทรวงฉบับนี้ยังไปขัดกับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 6 ที่ระบุว่า “กรมราชทัณฑ์อาจดำเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีอื่น นอกจากการควบคุม ขัง หรือ จำคุกไว้ในเรือนจำ แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา…” และในช่วงที่นายทักษิณรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น ถือเป็นการทุเลาการบังคับโทษจำคุก หรือไม่
ปรากฏว่า ศาลยกคำร้องอีก โดยศาลให้เหตุผลว่ากรณีนี้ไม่ปรากฏว่ามีการขอทุเลาการบังคับโทษ พูดง่ายๆคือไม่มีใครทำเรื่องมาขอศาลตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา จึงไม่ต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง
ยื่นคำร้องเป็น ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 นายชาญชัยขอให้ศาลพิจารณาประเด็นข้อกฎหมายกรณีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ หรือ เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตามกฎกระทรวงปี 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 7 และ มาตรา 55 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 นั้น อาจขัดต่อบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 ที่กำหนดให้การทุเลาการบังคับโทษจำคุกนั้น เป็นอำนาจของศาล… และวรรคสุดท้ายของมาตรา 246 ระบุว่า ให้หักวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา
อีกทั้งกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ยังไปขัดกับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 ที่ระบุว่า “กรมราชทัณฑ์อาจดำเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่น นอกจากการควบคุม ขัง หรือ จําคุกไว้ในเรือนจำ แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ….” และการนำตัวนายทักษิณไปพักรักษาตัวชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นห้องที่แยกต่างหากจากผู้ป่วยทั่วไป อาจขัดกับกฎกระทรวงฯ ปี 2563 ข้อ 4 (2) ซึ่งห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป
จากเหตุผลตามที่กล่าวข้างต้น นายชาญชัยขอให้ศาลฎีกาฯรับคำร้องนี้ไว้พิจารณา เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจตุลาการ ศาลยุติธรรม และระบบนิติรัฐของประเทศ ปรากฏว่าครั้งที่ 3 นี้ศาลฎีกาฯไม่ได้ยกคำร้องทันทีเหมือนการยื่นคำร้อง 2 ครั้งแรก และได้ออกหมายนัดให้นายชาญชัยมาฟังคำสั่งของศาลฎีกาในวันที่ 27 มกราคม 2568 เวลา 9.30 น. แต่พอถึงเวลานัดหมาย ศาลฎีกาขอเลื่อนและได้แจ้งให้นายชาญชัยมารับฟังคำสั่งของศาลฎีกาฯในครั้งต่อไป
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์
จนกระทั่งมาถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องของนายชาญชัยไว้พิจารณาไต่สวนในคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 โดยศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า แม้นายชาญชัยจะไม่ใช่คู่ความ ไม่ใช่ผู้เสียหายจากการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯได้ แต่เมื่อนายชาญชัยนำความขึ้นมาปรากฏต่อศาลฎีกา ทำให้ศาลฎีกามีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ศาลจึงมีคำสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องของนายชาญชัยให้ไป ป.ป.ช. ,อัยการ , จำเลย (นายทักษิณ) , ผู้บัญชาการเรือนจำกรุงเทพมหานคร , อธิบดีกรมราชทัณฑ์ , แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งให้ศาลภายใน 30 วัน โดยในไต่สวนพยานปากแรก คือ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบันในวันที่ 13 มิถุนายน 2568
หลังจากที่ศาลฎีกา ฯรับไต่สวนคดีบังคับโทษนายทักษิณเป็นไปตามคำพิพากษาของศาลหรือไม่นั้น ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 5/2568 มีมติลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจรักษานายทักษิณ โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง แม้จะถูกวีโต้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะสภานายกพิเศษ แต่ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ก็มีมติเกิน 2 ใน 3 ยืนยันตามมติเดิมที่สั่งลงโทษแพทย์ 3 คน
จากนั้นกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงพยาน 31 ปาก ที่เกี่ยวข้องกับการนำตัวนายทักษิณช่วงที่เป็นนักโทษออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ไปพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นวันที่นายทักษิณได้รับการพักโทษออกจากโรงพยาบาลตำรวจ ก็เริ่มต้นขึ้น
ไต่สวนพยานนัดแรก เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ศาลฎีกาฯสอบปากคำ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน ในประเด็นข้อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ และขั้นตอนการนำตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ โดยเริ่มไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่การไปรับตัวนายทักษิณจากศาลฎีกาฯ มาส่วที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก็มี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นคนตรวจร่างกาย และซักประวัติการรักษาตัวของนายทักษิณในต่างประเทศไต่สวนพยานนัดแรก เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ศาลฎีกาฯสอบปากคำ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน ในประเด็นข้อกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ และขั้นตอนการนำตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ โดยเริ่มไล่ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่การไปรับตัวนายทักษิณจากศาลฎีกาฯ มาส่วที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก็มี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นคนตรวจร่างกาย และซักประวัติการรักษาตัวของนายทักษิณในต่างประเทศ
ในวันนั้น พญ.รวมทิพย์ได้ให้ความเห็นในใบรับรองแพทย์ว่า ผู้ต้องขังเป็นผู้สูงอายุอยู่ในกลุ่ม 608 ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระดูกทับเส้นประสาท รวมทั้งมีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถไปรับการรักษาโรคจากแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ในเวลาทำการปกติ
จากนั้นนายมานพ ได้อธิบายให้ศาลทราบถึงการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่เจ็บป่วยว่า ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะมีพยาบาล 1 คน ดูแลผู้ต้องขัง 4,000 คน ทำหน้าที่ปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ถ้าอาการหนักก็ส่งไปรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งมีรั้วติดกันกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพอยู่ห่างกันไม่ถึง 300 เมตร เป็นโรงพยาบาลแม่ข่าย ซึ่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ถือเป็นเรือนจำ เพราะเป็นโรงพยาบาลที่มีลูกกรง ให้บริการรักษาพยาบาลเฉพาะผู้ต้องขังที่ป่วย ไม่รับบุคคลภายนอก ส่วนใหญ่ผู้ต้องขังที่ป่วยจะส่งตัวมาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อนทุกกรณี แต่ก็มีบางกรณีต้องส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นได้โดยไม่ต้องส่งมาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน เช่น ผู้ต้องขังที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ต้องให้คีโม เป็นต้น
ไต่สวนพยานนัดที่ 2 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ศาลสอบปากคำกลุ่มบุคลากรการแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์รวม 5 ปาก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ประกอบด้วย
- แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ตรวจร่างกายนายทักษิณ
- นายแพทย์นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ , นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ
- ผู้ช่วยพยาบาลอีก 2 คน
จากนั้นศาลได้เรียกพยานเข้ามาไต่สวนที่ละคน เริ่มจาก พญ.รวมทิพย์ แพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายนายทักษิณในฐานะผู้ต้องขังใหม่ ได้นำเวชระเบียนจากประเทศสิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรต มาใช้ประกอบการวินิจฉัยโรคของนายทักษิณ ซึ่งอาการป่วยของนายทักษิณมีโรคเรื้อรังเกินศักยภาพการรักษาของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จึงเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ต้องขังไปเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลภายนอกภายในเวลาราชการ พญ.รวมทิพย์ ย้ำว่า ณ ขณะตรวจนายทักษิณยังไม่มีอาการป่วยวิกฤติฉุกเฉินแต่อย่างใด จนกระทั่งมาถึงเวลาประมาณ 22.00 น. ได้ พญ.รวมทิพย์ได้รับการติดต่อจากพยาบาลเวรประจำ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขออนุญาตใช้ใบส่งตัวที่ พญ.รวมทิพย์ได้เซ็นไว้ล่วงหน้า เพื่อส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากนายทักษิณมีอาการป่วยวิกฤติ คือ “นอนไม่หลับ แน่นหน้าออก วัดความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ” ตรงตามที่กรมราชทัณฑ์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566
แต่ก่อนที่พยาบาลเวรจะติดต่อ พญ.รวมทิพย์ เพื่อขอใช้ใบส่งตัวที่เซ็นไว้ล่วงหน้า ในเวลา 22.00 น. นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรได้โทรศัพท์ไปขอคำแนะนำจากนพ.นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันเกิดเหตุ นพ.นทพร ได้สอบถามอาการของผู้ป่วยจากพยาบาลเวร และเมื่อพิจารณาการรักษาของนายทักษิณในโรงพยาบาลต่างประเทศ (สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) พบว่ามีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูง พังผืดในปอดที่เป็นผลมาจากเคยติดเชื้อไวรัส โควิด – 19 และกระดูกสันหลังเสื่อม โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ โรคหัวใจ ซึ่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพในการรักษาโรคดังกล่าวนี้ แพทย์เวรจึงเห็นควรให้ส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อม และมีศักยภาพสูงกว่า โดยที่ นพ.นทพรไม่ได้มาตรวจนายทักษิณที่นอนป่วยอยู่ในสถานพยาบาลเรือนจำ
ปฐมพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน 2 ชม.ให้แต่ออกซิเจน
จากนั้น ศาลฎีกาฯก็สอบปากคำ นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรที่โทรศัพท์ไปแจ้งแพทย์เวร โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และติดต่อขอใช้ใบส่งตัวล่วงหน้าจาก พญ.รวมทิพย์ โดยศาลได้ซักถามพยาบาลเวรหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยของนายทักษิณ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการประสานงานกับทางโรงพยาบาลตำรวจ ทางพยาบาลเวรให้การว่า นายทักษิณมีอาการป่วยหนัก โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพไม่เพียงพอ ศาลถามถึงสถานพยาบาลในเรือนจำอยู่ห่างจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ประมาณ 200 เมตร ทำไมไม่ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาพยาบาลในเบื้องต้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน ประเด็นพยาบาลเวร ชี้แจงว่า หากส่งตัวนายทักษิณไปรักษาพยาบาลในเบื้องต้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะต้องเตรียมประสานทีมแพทย์ อุปกรณ์เครื่องมือ และกว่าจะนำตัวออกไปส่งโรงพยาบาลตำรวจได้จะใช้เวลานานกว่า
ถามต่อว่าในระหว่างที่นายทักษิณป่วยวิกฤตินอนอยู่ในสถานพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งแต่เวลา 22.00 – 00.00 น. มีการรักษาพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร พยาบาลเวร ให้การว่า ปฐมพยาบาลนายทักษิณในเบื้องต้นด้วยการให้ออกซิเจน ส่วนอาการความดันสูงนั้น ไม่ได้จ่ายยา เพราะแพทย์ไม่ได้สั่ง และหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากโรงพยาบาลตำรวจ จึงเคลื่อนย้ายนายทักษิณจากห้องกักโรคชั้น 2 มายังรถพยาบาล ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที ถึงโรงพยาบาลตำรวจ ก็ไปทำเวชระเบียนใช้เวลาอีกประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจให้พยาบาลเวรนำใบเวชระเบียนขึ้นไปส่งที่ห้องพยาบาล (nurse station) ชั้น 14 เข้าใจว่านายทักษิณอยู่ในห้องพักชั้น 14 แล้ว
ไต่สวนนัดที่ 3 วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาสอบปากคำเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 9 นาย โดยกลุ่มแรก เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมตัวนายทักษิณนำส่งโรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 รวม 5 นาย อันได้แก่
- นายสัญญา วงค์หินกอง ผู้อำนวยการส่วนบริหารงานทั่วไป เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในคืนวันเกิดเหตุทำหน้าที่พัศดีเวร
- นายสมศักดิ์ บุดดีคำ นักทัณฑวิทยาชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในคืนวันเกิดเหตุทำหน้าที่ผู้ช่วยพัศดี และหัวหน้าเวรคนที่ 1
- นายจารุวัฒน์ เมืองไทย ปัจจุบันเป็นนักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ เรือนจำกลางอุบลราชธานี คืนวันเกิดทำหน้าที่ควบคุมตัวนายทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปโรงพยาบาลตำรวจ
- นายธีระศักดิ์ คงหอม หัวหน้างานตรวจค้น เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร คืนวันเกิดเหตุทำหน้าที่ควบคุมตัวนายทักษิณ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปโรงพยาบาลตำรวจ และได้รับคำสั่งให้เป็นผู้คุมขณะผู้ต้องขังพักอยู่ที่ รพ. ตำรวจหลังจากนั้นเช่นกัน นายเทวรุทธ สุนทร ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง จังหวัดระยอง วันเกิดเหตุมีตำแหน่งนักวิชาการอบรม และฝึกวิชาชีพเรือนจำจังหวัดสระแก้ว แต่มาปฏิบัติหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำหน้าที่ควบคุมนายทักษิณจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพไปโรงพยาบาลตำรวจ
และกลุ่มที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตัวนายทักษิณขณะพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 – วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 รวม 4 นาย ได้แก่
- นายนพรัตน์ ไกรแสวง นักทัณฑวิทยาชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
- นายเจนวิทย์ เรือนคำ เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ชำนาญการ เรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ทำหน้าที่เป็นผู้คุมขณะที่นายทักษิณพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
- นายศิวพันธุ์ มูลกัน เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ชำนาญการ เรือนจำอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา วันเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้คุมช่วงทานายทักษิณพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และ นายนิภัทร์ชล หินสุข เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ปฏิบัติงาน เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับคำสั่งให้เป็นผู้คุมขณะผู้ต้องขังพักอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ผู้คุมให้การขัดแย้ง – ปมหิ้วถังออกซิเจน
โดยศาลได้เบิกพยานซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งเข้ามาสอบปากคำทีละคนด้วยคำถามเดียวกัน แต่คำตอบที่ได้จากพยานจะแตกต่างกันไป ยกตัวอย่าง กรณีที่ศาลฯ ได้ซักถามรายละเอียดการนำตัวนายทักษิณจากห้องกักโรคชั้น 2 ของสถานพยาบาลในเรือนจำ เดินมาขึ้นรถพยาบาลที่จอดรออยู่ด้านหน้ามีระยะทางไม่เกิน 50 เมตร โดยมีผู้คุม 2 คน ช่วยประคองตัวนายทักษิณคนละข้างไปขึ้นรถตู้ ทั้งนี้ พยานผู้คุมรายหนึ่ง ให้การว่า ได้มือหนึ่งหิ้วถังออกซิเจนอีกมือประคองนายทักษิณขึ้นรถตู้ ขณะที่ผู้คุมอีกคนหนึ่งที่ช่วยประคองนายทักษิณอีกด้าน ให้การว่า เห็นผู้ป่วยนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลมีการให้ออกซิเจน แต่ระหว่างเดินไม่มีใครถือถังออกซิเจน แต่พอขึ้นไปบนรถพยาบาลก็มีการให้ออกซิเจนอีก
นอกจากนี้ศาลได้ซักถามเรื่องการแต่งกายของผู้ต้องขัง และจำนวนรถพยาบาลที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย ซึ่งได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ว่าใช้รถตู้เพียง 1 คัน จอดรออยู่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือผู้คุม พยาบาลเวร คนขับรถ และผู้ป่วย นั่งอยู่ในรถพยาบาลรวมทั้งหมด 8 คน ใช้เวลาเดินทางไม่นาน รถพยาบาลก็ขึ้นไปจอดที่ทางลาดชั้น 2 อาคารภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตำรวจนำผู้ป่วยขึ้นเตียงเข็นเข้าลิฟต์ไปชั้น 14 ห้อง 1407 โดยในห้องดังกล่าวมีการติดตั้งอุปกรณ์การแพทย์ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมืออะไร และก็มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมาพักที่ห้อง 1404 แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ห้อง 1407 เป็นหลัก
ช่วงบ่ายของวันนั้น ศาลฎีกาฯได้ไต่สวนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อีก 4 นาย ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมตัวนายทักษิณขณะพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่นายทักษิณได้รับการพักโทษ ซึ่งศาลได้มีการซักถามถึงสภาพห้องพักของผู้ป่วย อาการของผู้ป่วย และการเข้าเยี่ยมของญาติ โดยผู้คุมจะมีโต๊ะนั่งอยู่หน้าห้องพัก และจะเปิดประตูเข้ามาตรวจทุกๆ 1 ชั่วโมง จะเห็น ผู้ป่วยนั่งบนเตียงตลอด ไม่สามารถลุกลงจากเตียงได้ด้วยตนเอง หากผู้ป่วยต้องการลงจากเตียง หรือ เข้าห้องน้ำ ต้องกดปุ่มเรียกพยาบาลให้ช่วยประคองลงจากเตียง เวลาญาติมาเยี่ยม ผู้ป่วยก็จะนั่งบนเตียง โดยพยาน (ผู้คุม) ให้การว่า นายทักษิณมีอาการป่วยทรง ๆตั้งแต่วันที่เข้ารับการรักษาตัวจนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจ
ไต่สวนนัดที่ 4 วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาออกหมายเรียกพยาน 6 คน เป็นกลุ่มผู้บริหารระดับสูงกรมราชทัณฑ์ 4 คน และ ผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อีก 2 คน ได้แก่
- นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ผู้เห็นชอบให้นายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลตำรวจ
- นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์
- นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์
- นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร , นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รองผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ขณะเกิดเหตุ) และ
- นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
โดยศาลฎีกาฯ ได้ซักถามผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ (อธิบดีและรองอธิบดี 2 ราย) ในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 2 ฉบับ อาทิ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 54 ที่กำหนดให้เรือนจำทุกแห่งจัดให้มีสถานพยาบาล เพื่อเป็นที่ทำการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่ป่วย โดยจัดให้มีแพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าพนักงานเรือนจำที่ผ่านการอบรมด้านการพยาบาล ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่เป็นประจำที่สถานพยาบาลนั้นด้วยอย่างน้อย 1 คน ..และมาตรา 55 วรรค 2 หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือ ถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือ สถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และวรรคสุดท้ายของมาตรา 55 ระบุว่า ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจาการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา
ทั้งนี้ ในกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ข้อ 2 ได้ระบุว่า เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรับการตรวจในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็ว ถ้าผู้ต้องขังคนนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือ ถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการ…ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้
จากบทบัญญัติของกฎหมายราชทัณฑ์ และกฎกระทรวง ฯ ปี 2563 ตามที่กล่าวข้างต้นนั้น ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จะต้องส่งตัวผู้ต้องขังไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นลำดับแรกก่อนหรือไม่ และเมื่อเข้ารับการรักษาโรคไปแล้วอาการไม่ทุเลาดีขึ้นให้ส่งผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ตามมาตรา 55
นอกจากนี้ในกฎกระทรวง ฯปี 2563 ข้อ 7 ยังกำหนดกรณีผู้ต้องขังพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังตามข้อ 3 เป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการ ดังต่อไปนี้
- พักรักษาตัวเกินกว่า 30 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
- พักรักษาตัวเกินกว่า 60 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ
- พักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ
แม้กฎกระกระทรวงฯ ปี 2563 ตามที่กล่าวข้างต้น ระบุว่า ต้องขอความเห็นชอบจากอธิบดี โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิน 30 วัน และเกิน 60 วัน ปรากฎว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์ติดภารกิจที่ต่างจังหวัด จึงมอบหมายให้รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 2 คน ลงนามแทนไป 2 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีใบประกอบความเห็นแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ ระบุ อาการของโรคเดิมตอนที่ส่งตัวมาโรงพยาบาลตำรวจ และมีโรคใหม่เกิดขึ้นจนต้องผ่าตัดเร่งด่วนไป 2 ครั้ง เป็นเหตุให้นายทักษิณต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจต่อไป
จนกระทั่งการพักรักษาตัวนอกเรือนจำของนายทักษิณดำเนินมาถึง 120 วัน เป็นช่วงจังหวะที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนดังกล่าวเข้ารับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2566 หลังจากได้พิจารณาใบประกอบความเห็นแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ 2 ฉบับ ที่ระบุว่านายทักษิณมีอาการป่วยที่รุนแรงขึ้น เมื่อรวมกับประวัติการรักษาเดิม อธิบดีกรมราชทัณฑ์จึงเห็นชอบให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจต่อไป หลังจากที่นายทักษิณถูกส่งตัวมาแอดมิทที่โรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 แล้ว ก็ไม่ได้กลับมาเหยียบเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอีกเลย
ไต่สวนนัดที่ 5 วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาฯ ออกหมายเรียกพยานกลุ่มบุคลากรการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย
- พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) – แพทย์ผู้ได้รับรายงานการแอดมิทของนายทักษิณ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 สิงหาคม 2566
- พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ
- พ.ต.อ. นพ. ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ – แพทย์เจ้าของเคสนายทักษิณ (แพทย์เวรรายแรก) ผู้เข้าไปดูอาการผู้ป่วยวิกฤติตั้งแต่เข้า โรงพยาบาลตำรวจ
- พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ รอง พตร. – แพทย์ผู้ช่วยด้านการผ่าตัดอาการหนึ่งชองนายทักษิณ และหนึ่งในผู้ออกใบรับรองแพทย์
- พล.ต.ต.ศุภฤกษ์ พัฒนปรีชากุล นายแพทย์ (สบ 7) – แพทย์ผู้ให้คำปรึกษาอาการวิกฤติอาการหนึ่ง และ
- พล.ต.ท.สุรพล เกษประยูร ศัลยแพทย์กระดูกที่ทำการผ่าตัดให้นายทักษิณ 2 ครั้ง ทั้งกรณีการผ่าตัดนิ้วล็อก และผ่าตัดหัวไหล่
สั่งแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจส่งข้อมูลห้องพักชั้น 14 เพิ่มเติม
นัดที่ 5 นี้ ศาลพยายามซักถามแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจแต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลนายทักษิณอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงของการส่งตัวนายทักษิณ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเข้ามาที่ห้องพักชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจได้อย่างไร และมีการจัดเตรียมห้องพักไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ทั้งนี้ ตามระเบียบการส่งตัวผู้ต้องขังจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ จะต้องส่งตัวไปยังห้องพักที่กำหนด
แต่กรณีนี้ถูกส่งตัวไปที่ห้องพักแยกต่าง หากอาจไม่เป็นไปตามระเบียบ ซึ่งผู้ที่มีอำนาจอนุมัติจะต้องเป็นผู้บริหารระดับ สบ. 8 ปรากฏผู้บริหารโรงพยาบาลตำรวจทุกคนที่มาให้การกับศาลไม่มีใครทราบว่าผู้ป่วยรายนี้มาพักรักษาตัวที่ชั้นที่ 14 ได้อย่างไร เข้าใจว่าจะเป็นการติดต่อกันในระดับเจ้าหน้าที่ธุรการ และพยานทุกคนยืนยันไม่มีการจัดเตรียมห้องพักไว้ล่วงหน้า
ประเด็นนี้ก็นำมาสู่คำถามและคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลว่า ห้องพักในโรงพยาบาลตำรวจเป็นอย่างไร มีกี่ห้อง แบ่งเป็นกี่ประเภท มีกี่อาคาร และแท้จริงแล้วห้องพักชั้น 14 เป็นห้องพักแบบไหน อย่างไร “ธรรมดา หรือ พิเศษ” พร้อมทั้งขอให้เปิดเผยรายชื่อคนไข้ และผู้ต้องขังรายก่อนหน้านี้ที่เคยมารักษาตัวที่ห้องพักขั้น 14 ทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อเทียบเคียงว่าการจัดห้องพักในครั้งนี้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
หลังจากที่นายทักษิณถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจในคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เจ้าหน้าที่ธุรการติดต่อไปที่ พ.ต.อ. นพ. ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เวรคนแรกที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมอง ระบบประสาท และกระดูกไขสันหลัง มาดูแลนายทักษิณที่ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ด้วยอาการป่วยวิกฤติ แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง ออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ ซึ่งความเชี่ยวชาญของแพทย์รายนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสอดคล้องกับอาการป่วยของนายทักษิณ
ศาลจึงถาม พ.ต.อ. นพ. ชนะ ว่าได้ทำการรักษาพยาบาลนายทักษิณซึ่งมาด้วยอาการป่วยวิกฤติฉุกเฉินอย่างไรบ้าง ปรากฏว่า พ.ต.อ. นพ.ชนะมีท่าทีประหม่า โดยสังเกตได้จากคำพูด และน้ำเสียง ขณะเบิกความ บางครั้งเบิกความตะกุกตะกัก หรือ ขอให้ศาลทวนคำถามอยู่หลายครั้งจนต้องขอปากกาและกระดาษมาจดคำถามของศาล และที่สำคัญเมื่อศาลถามว่าพยานทราบหรือไม่ การปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์จะมีผลผูกพันทางด้านกฎหมาย ทำให้พ.ต.อ. นพ. ชนะ ขอเวลาศาลสักครู่หนึ่ง และเงียบไปราว 10 วินาที จนศาลต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่นำน้ำมาให้พยานดื่ม ก่อนจะตัดพ้อถึงหน้าที่และบทบาทความเป็นแพทย์ที่ควรจะมีหน้าที่รักษาคนไข้ตามวิชาชีพ ไม่ใช่มาขึ้นโรงขึ้นศาลแบบนี้
แจงปมป่วยวิกฤติ-ไม่วิกฤติ–อาการทุเลา ยังไม่เคลียร์
จากนั้นศาลฯ ได้ซักถามความเห็นของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ลงบันทึกผลการรักษาผู้ป่วยในแต่ละช่วง ไม่ว่าจะเป็น Progress note และ Nurse note โดยศาลใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการซักถามอาการป่วยในแต่ละช่วงว่า วิกฤติหรือไม่วิกฤติ อาการทุเลาลงแล้วหรือยัง และเมื่ออาการทุเลาแล้วยังมีวิกฤติอีกหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ได้จากพยานมีทั้งวิกฤติและไม่วิกฤติ โดยแพทย์ทั้งหมดต่างตอบทำนองเดียวกันว่าการวินิจฉัยอาการป่วยนั้น ต้องดูเงื่อนไขต่าง ๆประกอบด้วย เช่น ประวัติการรักษาในอดีต อาการแทรกซ้อน ฯลฯ แต่แพทย์บางรายไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าวิกฤติหรือไม่ เพราะไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ แต่โดยสรุปแล้วกลุ่มบุคลากรการแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ยืนยันว่า นายทักษิณป่วยจริงได้ทำการรักษาและผ่าตัดจริงตามอาการ แต่บันทึกทางการแพทย์ ระบุ อาการป่วยของนายทักษิณในช่วงวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ทุเลาลงแล้ว หากเป็นคนไข้ทั่วไป สามารถกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้
นัดที่ 6 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาฯได้เชิญกรรมการจากแพทยสภามาถามความเห็นเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณในช่วงกลางดึกของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีภาวะวิกฤติจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจจริงหรือไม่ โดยพยานทั้ง 3 ปาก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์สาขาต่างๆในระดับ ‘อาจารย์ของอาจารย์หมอ’ ประกอบด้วย
- ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์
- ศาสตราจารย์นายแพทย์ไชยรัตน์ เพิ่มพิกุล กรรมการแพทยสภา และประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินหายใจ และเวชบำบัดวิกฤติ หรือ “หมอไอซียู” ช่วยผู้ป่วยให้ผ่านพ้นวิกฤติ และ
- ศาสตราจารย์นายแพทย์ กีรติ เจริญชลวานิช กรรมการแพทยสภา และประธานราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ข้อสะโพก และข้อเข่าต่าง ๆ เป็นต้น
‘แพทยสภา’ ยันไม่ใช่ป่วยวิกฤติ – รักษาแบบไป-กลับได้
โดยพยานทั้ง 3 ปาก ได้ให้ความเห็นตรงกันว่า ในคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นายทักษิณ ไม่ได้ป่วยวิกฤติ โดยนายทักษิณถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจด้วยเฝ้าระวังอาการของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่มีโอกาสกำเริบได้ โดยพยานก็ให้ข้อสังเกตุว่า หลังจากคุมตัวนายทักษิณมาถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว ปรากฎว่าโรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ได้นำตัวผู้ป่วยเข้าห้อง ICU หรือ ห้อง CCU สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการวิกฤติ เพื่อทำการตรวจวัดคลื่นหัวใจภายใน 10 นาที ตามหลักเวชบำบัดผู้ป่วยวิกฤติ และไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการจ่ายยารักษาอาการป่วยวิกฤติดังกล่าวแต่อย่างใด และก็ไม่ได้จัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจทำการตรวจรักษาผู้ป่วยทันทีที่รับตัวผู้ป่วยมารักษา แต่กลับจัดแพทย์เวรที่เชี่ยวชาญด้านสมองและไขสันหลังมาดูแลแทน กว่าที่นายทักษิณจะได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจอีก 2 วันถัดมา ซึ่งอาการก็ทุเลาลงแล้ว
จากนั้นในระหว่างที่นายทักษิณเข้าพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อรอดูอาการโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคประจำตัวจะกำเริบขึ้นมาอีกหรือไม่ ปรากฏว่ามาเกิดอุบัติเหตุ นายทักษิณมีอาการเจ็บที่นิ้ว และหัวไหล่จนเข้ารับการผ่าตัดไป 2 ครั้ง ซึ่งอาการเจ็บป่วยดังกล่าวนี้ ทำให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาอนุญาตให้นายทักษิณนอนพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจต่อไปอีก
ซึ่งประเด็นนี้พยาน ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ ได้ให้ความเห็นว่า การรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสำหรับคนทั่วไป โดยส่วนใหญ่แพทย์จะจ่ายยา เพื่อทำการบำบัดรักษาก่อนการผ่าตัด ไม่ถือว่าเป็นการรักษาโรคแบบเร่งด่วน โดยแพทย์ที่ทำการรักษาสามารถนัดผู้ป่วยมาผ่าตัดภายหลังได้ และถ้าเป็นการผ่าตัดเล็กๆ แบบใช้ยาชา กรณีนี้สามารถรักษาแบบไปกลับได้ แต่ถ้าวางยาสลบ กรณีนี้ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล รอจนแผลแห่งตัดไหมเสร็จ ก็กลับบ้านได้เต็มที่ก็ไม่เกิน 7 วัน ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 2 เดือน
จากคำให้การของพยานจากกรรมการแพทยสภาทั้ง 3 ปาก พอได้สรุปว่า การส่งตัวนายทักษิณ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครมารักษาตัวต่อเนื่องที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น มาด้วยการเฝ้าระวังอาการโรคประจำตัวของนายทักษิณ ซึ่งมีอาการกำเริบได้ แต่พอมาถึงโรงพยาบาลตำรวจแล้ว ก็กลับไม่ได้รับการรักษาโรค หรือ อาการป่วยที่บุคลากรการแพทย์ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์วิตกกังวล ส่วนแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจก็ไม่ได้รักษาอาการป่วยวิกฤติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต้องส่งตัวนายทักษิณมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่กลับไปรักษาโรคอื่น ซึ่งไม่ใช่โรคร้ายแรง ซึ่งสามารถทำการรักษาแบบไปกลับได้
ไต่สวนนัดที่ 7 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เชิญศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายมาไต่สวนตามที่ทนายของนายทักษิณร้องขอ ในฐานะที่เคยทำหน้าที่รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในช่วงที่ ดร.นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย
ดร.วิษณุ พยานปากสุดท้าย ให้การว่าไม่เคยได้รับการติดต่อจาก ดร.ทักษิณโดยตรง แต่ทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่านายทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งนายทักษิณเป็นบุคคลสำคัญ เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในฐานะ ดร.วิษณุ กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมจึงมีการประชุมเตรียมการรับตัวนายทักษิณจากสนามบินดอนเมืองมาส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ร่วมกับปลัดกระทรวงยุติธรรม , อดีตกรมราชทัณฑ์ , ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร , ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 2 ครั้ง ก็มีการจัดเตรียมห้องคุมขังสำหรับนักโทษรายนี้เป็นกรณีพิเศษ
นายวิษณุ ให้การว่าได้ไปดูสถานที่เคยใช้คุมขังนักโทษที่เป็นบุคคลสำคัญของเรือนจำพิเศษ เช่น ห้องขังเดี่ยวขนาดใหญ่มีห้องน้ำในตัวที่เคยใช้คุมขังนายราเกซ สักเสนา อดีตผู้ต้องขังในคดีแบงก์บีบีซี , ห้องขังรวมมีหลายเตียงอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่เคยใช้คุมขังนายวิโรจน์ นวลแข อดีตผู้ต้องขังคดีแบงก์กรุงไทย และห้องสมุดเรือนจำที่เคยดัดแปลงมาใช้เป็นที่คุมขังนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ก็คิดว่าคงจะไม่เหมาะ เพราะนายทักษิณมีอายุมากกว่า 70 ปี ทราบข่าวว่ามีโรคประจำตัวด้วย แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นเวชระเบียนจากต่างประเทศของ ดร.ทักษิณ
หลังจากนำตัวนายทักษิณเข้ามาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ฯ นายวิษณุ ให้การว่า ก็ได้พบปะพูดคุยกับนายทักษิณในห้องพยาบาล ชั้นที่ 2 ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นห้องโล่ง ณ ขณะนั้นนายทักษิณสวมใส่กางเกงขาสั้นสีเข้ม เสื้อสีขาว นั่งคุยกันประมาณ 20 นาที เห็นว่าอาการก็ยังเป็นปกติ แต่พอถึงเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีเจ้าหน้าที่เรือนจำโทรศัพท์มาแจ้ง ดร.วิษณุว่าได้ส่งตัว ดร.ทักษิณไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตำรวจแล้ว ซึ่งเดิมทีได้รับแจ้งว่า ดร.ทักษิณ ขอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระราม 9 แต่ ดร.วิษณุ บอกว่าไม่ได้ ต้องเป็นโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น แต่พอทราบว่าได้นำตัวส่งโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเครือข่ายที่กรมราชทัณฑ์ที่เคยทำ MOU กันไว้ ก็ไม่ได้สอบถามอะไรอีก
‘วิษณุ’ ยันไม่เคยชงเรื่องขออภัยลดโทษ ‘ทักษิณ’
คราวนี้มาถึงเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้นายทักษิณนั้น ดร.วิษณุ เบิกความว่า ไม่เคยเห็นเรื่องดังกล่าวเลย ซึ่งตามขั้นตอนผู้ต้องขังต้องทำเรื่องผ่านผู้บัญชาเรือนจำ , อธิบดีกรมราชทัณฑ์ , ปลัดกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีที่กำกับดูแล เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีนำเรื่องขึ้นทูลเกล้า ปรากฏว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ผ่านมาที่ ดร.วิษณุ แต่มารับทราบเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
สรุปในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรียกพยานบุคคล 31 ปากมาไต่สวน รวม 7 ครั้ง โดยศาลฎีกาฯได้มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีนี้ มาฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ผลจะออกมาอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป
‘ชาญชัย’ เตรียมฟ้องศาล – ป.ป.ช.ไต่สวน ‘ราชทัณฑ์’ ปมให้ “ทักษิณ” รักษาตัว รพ. – ขัด ป.วิอาญา?
ศาลฎีกาเลื่อนฟังคำสั่งคดี ‘กรมราชทัณฑ์’ นำ “ทักษิณ” รักษาตัว รพ.ตำรวจ – ขัด ป.วิอาญา?
ศาลฎีกานัด “ป.ป.ช.-ทักษิณ” ไต่สวน ปมรักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ 13 มิ.ย.นี้
คดีชั้น 14 ‘ป่วยวิกฤติ’ ให้ออกซิเจน-ใช้เวลา 2.20 ชม. จากเรือนจำกรุงเทพฯ ถึงรพ.ตำรวจ
ไต่สวนนัดที่ 5 คดีชั้น 14 แพทย์ยัน ‘ผ่าตัดจริง’ แต่ปมป่วยวิกฤติ-อาการทุเลา ยังไม่เคลียร์
‘คดีชั้น 14’ นัดที่ 6 แพทยสภา 3 ปาก ให้การตรงกัน ‘ไม่ได้ป่วยวิกฤติ’ รักษาตัวแบบไปกลับได้
ศาลนัดชี้ขาดคดีชั้น 14 “ไม่ป่วยวิกฤติ-ขัด ป.วิอาญาฯ” 9 ก.ย.นี้