โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ’ ชูตัวชี้วัด ‘Joint KPIs’ ระบบราชการแก้ปัญหา ‘ทุนถดถอย’ สร้างค่านิยมร่วมประเทศไทยรอดได้

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 13 สิงหาคม 2568 เวลา 23.20 น. • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

……

วิกฤติศรัทธาที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ จากการเพิกเฉย/ละเลย ไม่ปฏิบัติตาม rule of law เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำลงเรื่อยๆ ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าในปีนี้ประเทศไทยโตร้อยละ 1.6 ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ “ทุน” ทั้งที่เป็นธรรมชาติและที่สร้างขึ้นมาอย่างฟุ่มเฟือย จน “ทุน” ที่ดีร่อยหรอ ขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพของประเทศลดลงไปเรื่อยๆ จึงมีคำถามว่า ถ้าประเทศไทยต้องรอด เราจะร่วมกันฟื้นฟูอย่างไร

……

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้สัมภาษณ์ ‘ไทยพับลิก้า’ ต่อสถานการณ์ประเทศไทย โดยมองถึง “ทุนประเทศไทย” ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปข้างหน้า เราต้องมีทุนอะไรในการขับเคลื่อน แล้ววันนี้ “ทุนประเทศไทย” อยู่ในภาวะอย่างไร

โดยกล่าวว่า “จริงๆ ทุนมีหลายตัว แต่ที่เห็นชัดๆ คือเรื่องคน หรือทุนมนุษย์ (human resource) เป็นทุนที่สำคัญที่สุดของทุกประเทศ และทุกประเทศจะมี “ทุนทรัพยากรธรรมชาติ” ที่ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจกรรมทางสังคมมากน้อยแตกต่างกัน แต่ถ้าคนเขามีคุณภาพ ประเทศเขาจะเติบโตอย่างยั่งยืน ส่วน “ทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ประเทศมีอยู่” จะเป็นตัวช่วยในการก้าวไปข้างหน้า และทุนสำคัญที่สุดอีกตัวหนึ่ง ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของทุกประเทศสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดคือ “ทุนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม” อันนี้เป็นทุนที่สำคัญมากๆ ในการพลิกโฉมการเติบโตของประเทศ

สำรวจ “ทุน” ประเทศไทย

นางสาวอ้อนฟ้ากล่าวว่า เมื่อย้อนกลับมาดูทุนเหล่านี้ของเรา ทุนที่หลายๆ คนอาจจะเป็นห่วงมากที่สุดคือทุนเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้จะรู้สึกว่าเศรษฐกิจเติบโตช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน เราเกิดภาวะอย่างนี้มานานแล้ว รัฐบาลต่างๆ เลยพยายามหาวิธีแก้ แต่ในแง่ของการเติบโต การทำให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน ไม่ได้มีเรื่องการเติบโตทางเศรฐกิจตัวเดียว

“เวลาเราดูดัชนีทางเศรษฐกิจจะมี 2 ด้าน อันที่หนึ่งคือ growth อันที่สองคือ stability คือเสถียรภาพ เสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ เขาจะไปดูอัตราเงินเฟ้อว่าเป็นอย่างไร ซึ่งประเทศเราค่อนข้างต่ำ 0.5-1% แล้วก็ดุลบัญชีเดินสะพัด เราเกินดุลเยอะแม้เราจะบอกว่าเราโตช้า แต่เรายังมีทุนในเชิงเสถียรภาพตรงนี้อยู่ อันนี้เป็นตัวอย่างในการมองภาพรวม บางทีคนส่วนใหญ่เวลามองแล้วจะตกใจ เพราะเรามองแค่ตัวชี้วัดตัวเดียว แล้วก็จะไม่ได้เห็นภาพทั้งหมด ว่าจริงๆ แล้วในการขับเคลื่อนประเทศอาศัยหลายมิติ

ทุนเศรษฐกิจ ทำยังไงให้เติบโต ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไปเกี่ยวกับทุนที่เหลือทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องคน เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวที่ทำให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจ

ทุนมนุษย์ ในเรื่องของคนต้องมองใน 2 มิติ มิติแรกคือปริมาณ มิติที่สองคือคุณภาพ ในมิติปริมาณเรารู้ว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุเรียบร้อยแล้ว หมายความว่าอันนี้คือจุดที่น่าเป็นห่วงที่สำคัญ

ถามว่าทุนตรงนี้เราจะจัดการยังไง เพราะว่าคนไทยจะอายุยืนขึ้น ขณะที่เด็กเกิดใหม่น้อยลง อันนี้ต้องมีนโยบายเข้ามาจัดการทุนในเชิงจำนวน แต่ว่าไม่ใช่เพิ่มจำนวนประชากรแค่นั้น การดึงแรงงานจากต่างประเทศที่เขามีศักยภาพมาช่วยตรงนี้ได้ จะเป็นอีกทางออกอันหนึ่งที่ช่วยเรื่องของจำนวน

มิติที่สอง เรื่องของคุณภาพ ถ้าดูทุนคุณภาพของมนุษย์ มีดัชนีหลายตัวที่เป็นตัวชี้วัด อย่างเช่น Human Development Index ของ United Nations พบว่าประเทศไทยอยู่ในระดับ high (มี very high, high, medium, low) ต้องบอกว่า index ของประเทศไทยตัวนี้สูง เพราะดัชนีวัดคุณภาพชีวิต ดูทั้งด้านการศึกษา และด้านการสาธารณสุข

ด้วยประเทศไทย มี life expectancy หรืออายุขัยเฉลี่ยสูง และมี literacy rate อัตราการรู้หนังสือสูง เพราะฉะนั้นถ้าประเทศไทยอยู่ใน high แสดงว่าเรามีจุดแข็งอยู่ แต่ดัชนี PISA เป็นตัวหนึ่งที่กำลังจะบอกเทรนด์ของ next generation เพราะคะแนน PISA เราไม่ดี ซึ่งต้องยอมรับว่าใช่ เป็นปัญหาที่รัฐบาลและทุกหน่วยงานพยายามแก้ไขอยู่ ซึ่งประเด็นคุณภาพ ไม่ได้มีแค่เรื่องของ PISA แต่ทุนมนุษย์ที่เรามีมันยังพอใช้ได้อยู่ อันนี้คือเรื่องของคน

ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นทุนที่เราใช้ไปเยอะ แต่ถามว่าผลออกมาเป็นอย่างไร จากดัชนี EPI (Environmental Performance Index) เป็นดัชนีที่ดูด้านสิ่งแวดล้อมตัวรวม บอกว่าประเทศไทยอยู่ประมาณอันดับที่ 90 คะแนนไม่ดี สกอร์อยู่ที่ 45.7

“อันนี้น่าสนใจตรงที่ว่า ดัชนีย่อยบอกว่าสิ่งที่เราดีคือเรื่องการจัดการป่าไม้ เป็นจุดแข็ง เราอยู่ในอันดับที่ 7 จาก 180 ประเทศ แต่พอเรื่องของการจัดการขยะ (waste management) การจัดการเรื่องคุณภาพอากาศ (air quality) PM2.5 อันนี้มีปัญหา เราเองก็จะรู้สึกว่า PM2.5 สูง ดัชนีชี้ว่าถ้าเราจะจัดการทุนของประเทศด้านสิ่งแวดล้อม เราต้องเข้ามาเจาะตรงไหน นี่คือจุดอ่อนที่เราต้องเข้าไปแก้ ไม่เช่นนั้นทุนที่เหลือของเราจะไม่ทำงาน ถ้าคนไทยต้องเติบโตมากับ PM2.5 แล้วเจอปัญหาเรื่องความสกปรกของขยะที่เราจัดการไม่ดี รวมทั้งการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่เรายังจัดการได้ไม่ดี คุณภาพของคนก็จะไม่ดีไปด้วย”

ชูตัวชี้วัด “Joint KPIs” หน่วยราชการ แก้ปัญหา ‘ทุนถดถอย’

นางสาวอ้อนฟ้ากล่าวว่า ในส่วนสำนักงาน ก.พ.ร. เราเห็นภาพ “ทุนประเทศไทย” และรู้ว่านี่คือทุนสำคัญในการสร้างให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้น เราพยายามแก้ไขให้ระบบราชการเข้ามาช่วยกันแก้จุดอ่อนตรงนี้ หรือช่วยยกระดับทุนพวกนี้อย่างไร

ทั้งนี้ บทบาท ก.พ.ร. เป็นคนที่ดูแลการประเมินผลงานของหน่วยราชการต่างๆ ด้วย KPI และเราเห็นว่าหน่วยงานราชการอาจจะทำงานเป็นไซโล ไม่ค่อยบูรณาการกัน จึงไม่ได้ตอบโจทย์นโยบายภาพใหญ่

ก.พ.ร. ใช้กลไกหนึ่งที่เรียกว่า “Joint KPIs” หรือตัวชี้วัดร่วม ในการที่จะให้หน่วยงานทำงานร่วมตอบโจทย์เป้าหมายร่วมกัน เป็นการใช้กลไกบริหารราชการเข้าไปเพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่อง ‘ทุนประเทศไทย’ ในมิติต่างๆที่มีแนวโน้มจะถดถอยลง

นางสาวอ้อนฟ้าเล่าว่า “ก.พ.ร. ทำเรื่อง Joint KPIs มาประมาณ 4 ปีแล้ว ‘Joint KPIs’ ช่วงแรกๆ มีอยู่ 4 ตัว มีเรื่องท่องเที่ยว เรื่อง SME เรื่อง PM2.5 แล้วก็เรื่องน้ำ หลังจากนั้นก็พัฒนาเพิ่ม ตอนนี้มี 8 ตัว เช่น เรื่อง climate change เพราะหลังจากไทยไปทำข้อตกลงเรื่อง net zero เราก็รู้ว่าท่าทางจะไปไม่ทัน ถ้าไม่ทำ Joint KPIs เลยนำเรื่อง net zero มาทำ Joint KPIs คือการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก”

” Joint KPIs ตัวแรกๆ คือรายได้ท่องเที่ยว ตอนนั้นเริ่มหลังโควิด ปี 2563-2564 มีปัญหาเรื่องท่องเที่ยว ก็ทำ Joint KPIs โดยกระทรวงท่องเที่ยวฯ เป็นเจ้าภาพแข็งขันมาก และปัญหารายได้ SME เพราะหลังโควิด ทุกคนประสบภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่โดยเฉพาะSME เราไปทำ Joint KPIs เรื่อง SME เรื่องการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ มี สนทช. (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) เป็นเจ้าภาพหลัก ดูเรื่องคุณภาพน้ำสายหลัก ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลเรื่องคะแนนที่เราตกดัชนี EPI เรื่องการจัดการขยะในแม่น้ำ รวมถึงเรื่อง PM2.5 ที่ทำมาประมาณ 2 ปีแล้ว เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับเป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อน รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมการขนส่งทางบก กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงาน กระทรวงเกษตรฯ ดูเรื่องการเกษตร และจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ เข้ามาร่วมกันทำเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจก (greenhouse gas) เพื่อตอบโจทย์ climate change”

“ล่าสุด ก.พ.ร. ทำ sandbox ตัวหนึ่งร่วมกับภาคเอกชน คือ “สระบุรี Low Carbon City Sandbox” สระบุรีเป็นจังหวัดเล็ก แต่ปล่อยคาร์บอนอยู่อันดับ 2 -3 ของประเทศ เพราะมีการผลิตปูนซีเมนต์ ทางบริษัทเอสซีจีมาคุยกันจึงมีการดึงหน่วยงานภาครัฐเข้ามาทำด้วยกัน รวมทั้งผู้ว่าฯ สระบุรี ต้องการให้สระบุรีประสบความสำเร็จ เราเชื่อว่าถ้าสระบุรีทำสำเร็จ ทุกจังหวัดในประเทศไทยก็ทำได้ แล้วดึงหน่วยงานต่างๆ ดึงชุมชนเข้ามา อันนี้ทำให้ภาครัฐ หน่วยงานรัฐ เริ่มเรียนรู้ว่าเราต้องทำงานร่วมกับชุมชน ประชาสังคม และภาคเอกชน“

ส่วนเรื่อง PISA เพิ่งจะมาเริ่มปีนี้ พอเราเห็นดัชนีตก เราไปคุยกับสภาการศึกษา และเขาพร้อมที่จะเข้ามาร่วมด้วย”ในการยกระดับคะแนน PISA หน่วยงานไม่ว่าจะสภาการศึกษา และหน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยสภาการศึกษาเป็นเจ้าภาพหลัก ก.พ.ร.ทำเป็น Joint KPIs ว่าเราจะยกระดับคะแนน PISA ขึ้นมาอย่างไร ซึ่งเริ่มแล้วใน ปี 2568 เราจะรอดูผลสิ้นปีนี้ว่าเป็นยังไง

“ต้องบอกว่า Joint KPIs บางตัว มีหน่วยงานเข้ามาร่วมประมาณ 50-60 หน่วยงาน เราดึงตั้งแต่จังหวัด องค์การมหาชนที่เกี่ยวข้อง กรมทุกกรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เรื่องง่าย บางหน่วยงานเขาไม่รับเป็นเจ้าภาพ เขาบอกว่าเขาเป็นแค่หน่วยออกมาตรการ ทำไมต้องมารับผลที่หน่วยปฏิบัติทำด้วย เราบอกว่าต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ช่วงหลังๆ หน่วยงานมาหา ก.พ.ร.บอกว่าช่วยเอางานที่เขารับผิดชอบเป็น Joint KPIs ให้หน่อย เขาจะได้ดึงหลายๆ หน่วยงานมาช่วยกันทำ”

ปรับบริการภาครัฐ ลดต้นทุนประชาชน ผ่าน “Digital Service”

นางสาวอ้อนฟ้ากล่าวต่อถึง ‘ทุนเทคโนโลยีกับนวัตกรรม’ ว่า ถ้าสังเกตจริงๆ กระทรวง หน่วยงาน พยายามขับเคลื่อนเรื่อง digital transformation ของประเทศค่อนข้างมาก ตั้งแต่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เน้นเรื่องนี้จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน

นอกจากนี้ ถ้าเราดูคะแนนเรื่องของ IMD Competitiveness ด้าน digital ไปได้ดี และมีบอกว่าส่วนไหนที่ต้องปรับปรุงบ้าง การขับเคลื่อนเรื่องดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเตรียม infrastructure ด้านดิจิทัลของประเทศเอาไว้ค่อนข้างดี ซึ่งสะท้อนอยู่ในดัชนี TII (Telecommunication Infrastructure Index) ของ United Nations ที่เราได้คะแนนค่อนข้างสูง เกือบ 0.8%(คะแนนเต็ม1.0) ของดัชนีการเตรียมเรื่อง infrastructure ด้านดิจิทัลให้กับประเทศ

ในส่วนของ digital government รัฐบาลขับเคลื่อน โดยมี ก.พ.ร. เป็นกลไกหลักในการประสาน เราทำตัวชี้ว่าทุกหน่วยต้องขับเคลื่อนเรื่อง e-service ตั้งแต่ปี2563 ที่มีโควิด ก.พ.ร. กำหนดว่าหน่วยงานไหนยังไม่มี e-service คุณต้องมาทำเป็น digital service ในระดับ 1 ส่วนหน่วยงานไหนมี e-service ระดับ 1 แล้วคุณต้องทำให้มันเป็นจ่าย e-payment ได้เป็นระดับ2 หากเสร็จแล้วต้องออกเป็น e-license ได้เป็นระดับ 3 คือเราทำเป็นระดับให้หน่วยงานพัฒนาตาม โดยที่ ก.พ.ร. เข้าไปช่วยด้วย

“สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าเราไปวัด KPI เขาอย่างเดียว แต่ต้องช่วยเขาก่อนว่าต้องปรับปรุงอะไรในการเป็น e-service เขาต้องปรับกระบวนการยังไง เพราะว่าการทำ digital service ไม่ใช่เอา digital ใส่เข้าไป เราต้องปรับกระบวนการด้วย ไม่เช่นนั้นเหมือนเราเอาคอมพิวเตอร์มาพิมพ์ดีด ไม่ได้มีการเปลี่ยนหรือลดกระบวนการ เราทำตรงนี้ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(DGA) ค่อนข้างเยอะ และทำให้ดัชนีเรื่องของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่ประเทศไทยได้คะแนนสูงมาโดยตลอด แล้วก็โชคดีคือ หน่วยงานเห็นความสำคัญ เพราะว่าวันนั้นมีโควิดพอดี เขาพร้อมจะเปลี่ยน”

สำหรับ ก.พ.ร. เอา digital service มาเป็นส่วนหนึ่งของ KPI และกลยุทธ์ตอนที่เริ่มขับเคลื่อน e-service คือทำ e-service ให้ไวที่สุด ให้แต่ละหน่วยสร้าง e-service ประชาชนจะได้ไม่ต้องออกมาติดโควิดข้างนอก

“แต่เรารู้เลยว่า ทันทีที่แต่ละหน่วยงานทำ digital service มันจะเกิดปัญหาคือเป็นไซโล สิ่งที่ ก.พ.ร. ทำรองรับไว้คือเราทำ portal กลางที่จะให้เขาเข้ามาเชื่อมต่อ โดย portal กลางขณะนี้มีอยู่ 2 ตัวหลักๆ ที่ให้บริการ portal แรกเรียกว่าBiz Portal : business portal หรือ ศูนย์กลางบริการภาครัฐเพื่อภาคธุรกิจ เราสร้างขึ้นมาเพื่อลดปัญหากรณีถ้าผู้ประกอบการทางธุรกิจจะขอใบอนุญาตเปิดร้านอาหาร 1 ร้าน ต้องไปยื่นเอกสาร 15 หน่วยงาน หรือถ้าเป็น e-service ก็ล็อกอินเข้าออกส่งไฟล์ไม่รู้กี่ครั้ง”

แต่ถ้าเข้ามาที่ Biz portal คุณยื่นหนเดียว เอกสารทั้งหมดเข้ามาหนเดียว แล้วมันจะวิ่งไปหลังบ้านของทุกหน่วยให้จ่ายเงินตรงนี้ ไม่ต้องไปเจอเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการตรวจสอบเอกสารครบ-ไม่ครบ ก็แจ้งผ่าน e-service แล้วผู้ประกอบการส่งผ่าน e-service ทุกอย่างมันชัดเจน นี่คือระบบธรรมาภิบาลที่เกิดขึ้น แล้วสุดท้ายก็ได้ e-lisense

“ปัจจุบันเราพยายามกวาดต้อน e-service เล็กๆ ประมาณ 2,000 กว่าบริการ ซึ่งมีเยอะมาก บางทีบางหน่วยงานเขาก็มี API (application programming interface) มาเชื่อมต่อได้ บางหน่วยงานเขาไม่พร้อม ตอนนี้เราพยายามกวาดเข้ามา”

อีกส่วนหนึ่งคือportal สำหรับประชาชนทั่วไป ทุกคนอาจจะรู้จักในชื่อ“ทางรัฐ” ตอนเราสร้างใหม่ๆ เราตั้งชื่อว่า citizen portal คือ portal สำหรับประชาชน เช่น ใบขับขี่ จ่ายค่าน้ำค่าไฟ จ่ายค่าปรับ เช็คเงินสวัสดิการทั้งหลาย ทุกอย่างที่เป็นบริการสำหรับประชาชนรายบุคคลจะลงอยู่ในนี้ แล้วสุดท้ายหลังบ้านจะเชื่อมกัน วันนี้ ก.พ.ร. ไล่เก็บพวก e-service ที่หน่วยงานทำเข้ามาไว้ และเพิ่งทำเรื่องของบกลางไปที่คณะรัฐมนตรี 700 กว่าล้านบาท เพื่อจะดึงทุก service เข้ามาวางให้จบภายใน 2 ปี

เราตั้งใจมากเลยว่า ถ้า e-service มันลงมาอยู่ตรงนี้ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจำ password จำ ID แล้วก็ log-in เข้าๆ ออกๆ หลายหน อันนี้เป็นอะไรที่ต้องเร่งทำมาก คิดว่าถ้าทำตรงนี้มันจะช่วยปรับโฉมบริการภาครัฐ แล้วประชาชนสะดวกขึ้น พอประชาชนสะดวก ต้นทุนชีวิตเขาลดลง ไม่ต้องเดินทาง

นางสาวอ้อนฟ้าเล่าที่มาที่ไปว่า การขอใบอนุญาตหรือการทำธุรกรรมต่างๆ เวลาประชาชนมายื่นเอกสาร ซึ่งก็เป็นเอกสารของหน่วยงานราชการ เช่น ยื่นสำเนาทะเบียนบ้าน ซึ่งมีอยู่ที่กรมการปกครอง ขณะที่ภาคธุรกิจ ต้องยื่นทะเบียนนิติบุคคล ยื่นหนังสือบริคณห์สนธิ ยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ซึ่งก็เก็บที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

“ได้รับทราบ pain point การยื่นเอกสารนิติบุคคล จากท่านสนั่น อังอุบลกุล อดีตประธานสภาหอการค้า จึงหารือกับท่านอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)ในขณะนั้น ท่านก็บอกว่า เอาเลยมาช่วยกันทำ ก.พ.ร. จึงไปดึงหน่วยงานเข้ามาทั้งหมด เฟสแรก 20 หน่วยงาน เข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลต่อกับ DBD มีกรมที่ดิน กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมบัญชีกลาง ธนาคารแห่งประเทศไทย บีโอไอ กรมธนารักษ์ เป็นต้น”

ในเฟสแรกที่เชื่อมต่อกันมีการใช้ข้อมูล 9.2 ล้านธุรกรรมต่อปี ลดต้นทุนของประชาชนลงไปทันที 7,000 ล้านต่อปี คือกำลังบอกว่าแค่หน่วยงานภาครัฐเชื่อมโยงข้อมูลกันเอง แล้วประชาชนไม่ต้องหอบข้อมูลไป-มา ประชาชนไม่ต้องเสียเวลาเรื่องขั้นตอนต่างๆ ทั้งหลาย ช่วยลดต้นทุนได้มากมาย

“อันนี้คือ ก.พ.ร. ทำกับ DBD แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าแต่ละหน่วยที่จะเชื่อมกัน ต้องไปปรับทั้งเทคโนโลยีของเขา ปรับทั้งระเบียบ ซึ่งหน่วยงานที่มาทำร่วมกันก็น่ารักมาก เช่น กรมศุลกากรพอเขารับฟังในที่ประชุมว่ามีหน่วยงานหนึ่งบอกว่าเขาแก้ระเบียบไม่ได้ เขาคิดว่ามันผิดอย่างนั้นอย่างนี้ กรมศุลกากรบอกว่าเขาทำได้ให้เอาระเบียบกรมศุลฯ ไปลอกเลย นี่คือสิ่งที่ดีมากถ้าเราตั้งใจทำด้วยกันจริงๆ มันจะเกิดได้ “

เวลาเรามองภาพใหญ่ เราอย่าตีขลุมหมดทั้งก้อน ว่ามันทำไม่ได้หรอก หรือมันไม่ดีไปหมด ถ้าเราบอกว่าราชการมีคนทุจริตหมด มันเป็นไปไม่ได้ เวลาเจอเคสทุจริต 2-3 เคส มันเป็นคนจำนวนนิดหนึ่ง แต่คนในราชการที่ดีมีเท่าไหร่ ที่เขาขับเคลื่อนประเทศอยู่ด้วยความตั้งใจ คนเหล่านั้นแหละที่ช่วยกันเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาในทุกวันนี้ได้

พร้อมย้ำว่า “ดัชนี digital service ประเทศไทยดีมาก อันนี้คือเป็นจุดแข็งข้อหนึ่ง แต่ถามว่าจะทำให้ประเทศกระโดดก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง คงยังต้องทำกันอีกเยอะ ที่สำคัญคือคนด้านเทคโนโลยีเรามีไม่เพียงพอ เป็นอะไรที่ท้าทายในอนาคต ถ้าเราจะเสียเปรียบประเทศอื่นก็ตรงเขามีคนที่จบด้านนี้มากกว่า อย่างเวียดนามเขามีมาตรการในการจะสนับสนุนค่อนข้างเยอะ ตอนนี้เข้าใจว่ารัฐบาลไทยพยายามมองตรงนี้อยู่ว่าจะทำยังไง”

แก้ กม.อำนวยความสะดวก – ผุด ‘Super License’ ลดขั้นตอนขอใบอนุญาต

นางสาวอ้อนฟ้ากล่าวด้วยว่า ก.พ.ร. ยังมีความพยายามจะเชื่อมต่อเรื่อง e-service อีกเยอะ โดยทุกหน่วยที่ต้องใช้ข้อมูล DBD เราจะให้เชื่อมให้หมด มีแผนไล่กวาดไล่เก็บอยู่ คิดว่าทำไปแล้วสุดท้าย competitiveness ของประเทศมันต้องดีขึ้นแน่ๆ เพราะต้นทุนประชาชนลดลง

ไม่ใช่แค่นั้น ก.พ.ร. ยังแก้ระบบการขออนุญาตอยู่ โดยทำเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวกฯ (พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ) เพราะว่าในด้านหนึ่งระบบอนุญาตของหน่วยงานราชการยังคงเป็นภาระของประชาชนอยู่ แม้จะช่วยคุ้มครองให้ความเสียหายไม่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันเราพยายามดูระบบอนุญาตให้มีเท่าที่จำเป็น

ทุกวันนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่สามารถปรับจากระบบอนุญาตให้มันไม่ต้องเป็นอนุญาตได้ แต่ใช้เป็นเรื่องของจดแจ้ง จดทะเบียน วันนี้เราปรับตรงนี้เยอะ โดยขอปรับระบบอนุญาต ลงมาแค่จดแจ้งจดทะเบียนให้ทราบว่าตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนจะย้ายทะเบียนบ้าน ต้องไปที่สำนักงานเขต แจ้งย้ายออกจากที่นี่ไปยังเขตนี้ เดี๋ยวนี้ทำได้เองบนแอปพลิเคชัน อย่างนี้เป็นต้น เราก็พยายามปรับปรุง จากระบบอนุญาตมาเป็นจดแจ้ง หรือสมมติจดแจ้งขายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือขายบางอย่างที่มันไม่ได้อันตราย ไม่ได้มีความเสียหายรุนแรง ปรับระบบอนุญาตเป็นจดแจ้งแทน

“สิ่งที่ ก.พ.ร. ทำ 1. ถ้าไม่ต้องอนุญาตเลย ยกเลิกเลยไหม ที่ผ่านมาก็มียกเลิกเรื่องซีดี เรื่องการค้าของเก่า เครื่องพิมพ์ 3 มิติ แต่ก่อนต้องขออนุญาต เพราะว่ามีหน่วยงานเขากังวลว่าเดี๋ยวจะไปพิมพ์เป็นปืน วันนั้นก็มีเหตุผลของเขา แต่เราก็ค้นพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในประเทศเราสู้ประเทศอื่นไม่ได้เลย สุดท้ายก็เลยยกเลิกไป เป็นต้น

2. ถ้าต้องปรับระบบอนุญาตลงมาเป็นจดแจ้งจดทะเบียนพอได้มั้ย เหมือนอย่างการเปิดแพลตฟอร์มขายของบางอันก็ใช้แค่ระบบจดแจ้งก็พอ หรือจดทะเบียน ขึ้นทะเบียนให้รู้ อย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องเป็นการขออนุญาต

ถ้าต้องขออนุญาต ทำอย่างไรให้รวดเร็วขึ้น เราทำระบบ Biz portal ที่เล่าให้ฟังตอนต้นว่าให้มาขออนุญาตบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ อันนั้นก็จะรวดเร็วขึ้น แล้วก็ปราศจากการทุจริต แต่ระบบ Biz portal มันไม่สามารถรองรับทุกใบอนุญาต เพราะว่าแต่ละหน่วยงานมีความสามารถในการทำ e-service ต่างกัน เพราะฉะนั้น ดังนั้นเราจึงมาคิดว่าทำอย่างไรให้ระบบอนุญาตสะดวกขึ้น

ข้อที่หนึ่ง ใบอนุญาตที่ต้องให้ต่ออยู่บ่อยๆ จำเป็นต้องมานั่งต่อกันทุกปีมั้ย ขยายอายุให้มัน 5 ปีต่อทีได้มั้ย จะได้ไม่เป็นภาระ อันที่สอง ทำสิ่งที่เรียกว่า “super license” หมายความว่า สมมติจะเปิดร้านสะดวกซื้อสักหนึ่งร้าน ต้องขอใบอนุญาตจากหน่วยงานมาก เช่น ขอใบอนุญาตขายบุหรี่ ขอใบอนุญาตขายเหล้า ขออะไรเต็มไปหมด มาเป็นชุดเลย

คราวนี้ถามว่าทำยังไง จะให้การขอใบอนุญาตเหล่านี้ไม่ต้องวิ่งเข้าออกหลายหน่วยงาน คิดว่าน่าจะเอาใบหลักใบหนึ่งที่เป็นใบสำคัญที่เป็นใบ critical จริงๆ ที่ส่งผลต่อความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินถ้ามีการควบคุมไม่ดี เอาเป็นใบหลัก เช่น การก่อสร้างตึกหรือตัวอาคารเป็นใบอนุญาตหลัก บวกกับใบอนุญาตการควบคุม อาจจะเรื่องแก๊ส เรื่องอะไร แล้วที่เหลือก็เอาไปถือไว้เป็นใบรอง

“เมื่อได้ใบอนุญาตใบหลัก ให้อนุโลมใบรองไปเลย แทนที่จะขอ 10 ใบ มาขอใบเดียวหรือ 2 ใบ แล้วใบรองที่เหลือ จะไปใช้วิธีตรวจย้อนหลัง หรือ post audit แทน เพราะทุกวันนี้เราใช้ pre audit หมด คือตรวจล่วงหน้า ก็รอคิวไป ใครว่างก็ตรวจ สมมติต้องไปขอใบอนุญาต 20 หน่วยงาน ก็รอ 20 หน่วย ก็ pre audit ไป กว่าจะได้เปิดร้านอาหารหรือกว่าจะได้เปิดร้านอะไรสักอย่างหนึ่ง ไปกู้เงินมาแล้ว ดอกเบี้ยมันเดินหมดแล้ว ธุรกิจก็ไม่เกิด”

“เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ออก super license เป็นใบหลัก พอได้ใบอนุญาตหลัก ถือว่าได้ใบรองที่เหลือ แต่คุณก็ต้องการันตีตัวเองนะ ทันทีถ้าเกิดใบรองคุณไม่ผ่านหรือเกิดความเสียหาย คุณก็ต้องรับผิดชอบ อย่างนี้เป็นต้น ”

อันนี้ก็คือระบบที่เราปรับเรื่องของ license เป็น super license เราก็หวังว่าถ้าทำตัวนี้แล้ว SME เราจะโตไวขึ้น ประกอบธุรกิจได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าเข้าสู่ระบบดิจิทัลแล้ว การที่จะประวิงเวลาให้ใบอนุญาตนำไปสู่การเรียกรับสินบนก็จะลดลง

ปัจจุบันเรื่อง super license อยู่ในสภาวาระ 2 แล้ว ครม. เห็นชอบแล้ว ในสภาวาระ 1 กรรมาธิการเห็นด้วยหมดแล้ว แต่เขาก็อยากจะทำให้มันดีที่สุดในรายละเอียด คิดว่ายังไงกฏหมายนี้ออกแน่ เพราะว่าทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องการให้ประชาชนสะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ กฎหมายอำนวยความสะดวกฯ ยังมีรายละเอียดอีกมาก เช่น ใบอนุญาตหายไม่ต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่ให้แจ้งหน่วยงานและขอใหม่ได้เลย ช่วยลดพวกขั้นตอนที่ไม่จำเป็น แล้วก็เรื่องระบบคณะกรรมการ เราจะรู้กันว่าการมีคณะกรรมการ ข้อดีก็คือเราได้ผู้เชี่ยวชาญมาดู แต่ข้อเสียคือบางทีมันช้าไปอีกหนึ่งขั้นตอน ก็ให้เขาดูความจำเป็นการมีระบบคณะกรรมการในการที่จะตรวจสอบ มันต้องสมดุลกัน

“ดังนั้น ระบบอนุญาต เราต้องการให้รัฐสนับสนุน แต่ไม่ใช่รัฐอุปสรรค คือรัฐเป็นผู้สนับสนุน เราพยายามลดความเป็นอุปสรรค โดยสร้างกติกาใหม่ คือเอากฎหมายอำนวยความสะดวกฯ มาใช้”

พร้อมกล่าวต่อว่า “กฎหมายอำนวยความสะดวกฯ กำหนดว่าในการมาติดต่อราชการขอใบอนุญาต คุณต้องทำคู่มือประชาชนที่จะต้องบอกว่า 1. ใช้เอกสารอะไรบ้าง กี่ชุด 2. ขั้นตอนมีกี่ขั้นตอน หนึ่ง สอง สาม สี่ 3. ในแต่ละขั้นตอนใช้เวลากี่นาที ระบุแต่ละขั้นตอนให้ประชาชนรู้ 4. ค่าธรรมเนียมต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ คุณจะได้เรียกเก็บเกินไม่ได้ แล้วต้องเปิดเผยให้ประชาชนรู้ข้อมูลทั้งหมดนี้ ณ ที่ให้บริการ”

“อันนี้ทำให้ลดเรื่องการทุจริตลงไปได้เยอะ เวลาประชาชนเขาไปติดต่อ หากไม่เป็นไปตามคู่มือประชาชน เขาร้องเรียนมาที่ ก.พ.ร. เราก็รับเรื่อง และให้หน่วยงานชี้แจงว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเราดูแลกฎหมายอำนวยความสะดวกฯ อยู่ เพราะฉะนั้น หน่วยงานเขาต้องชี้แจง”

“แต่ประชาชนไม่ค่อยรู้ว่ามีกฎหมายนี้ พอเขารู้ เขาจะร้องนะ บางทีชื่อซ้ำๆ ร้องมาบ่อยๆ เราช่วยดู ส่วนคนไม่รู้ บางทีเขาก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน ก.พ.ร. พยายามสื่อสารเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวก เตรียมทำฟอร์แมตคู่มือประชาชนให้หน่วยงานทำให้รวดเร็วขึ้น จะพัฒนาเอไอเข้ามาช่วยให้ตอบโจทย์ประชาชนเวลาประชาชนมาติดต่อ ถ้าเราสร้างระบบตัวนี้ใหม่ จะปรับวิธีการทำงานของภาครัฐใหม่ แล้วก็ปรับภาพลักษณ์หรือประสบการณ์ที่ประชาชนที่มีกับภาครัฐใหม่”

เช่นเดียวกันกับกฎหมายปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ (พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์) มาจากการที่เราพยายามปรับให้เป็น digital government มันเริ่มจากหน้าบ้านคือการบริการประชาชน แต่หลังบ้านถ้ายังเป็นกระดาษกันอยู่ก็ไม่ digital เราจึงออกกฎหมายปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์โดยสำนักงานกฤษฎีกา ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ช่วยกันทำตัวนี้ออกมา

กฎหมายตัวนี้ทำให้ภาครัฐต้องสื่อสารกันเองด้วยอิเล็กทรอนิกส์ แล้วต้องสื่อสารกับประชาชนด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เราถือว่าถ้าประชาชนติดต่อผ่านอีเมลหรือว่าระบบที่ให้บริการของหน่วยงานนั้นทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ถือว่าติดต่อรัฐโดยสมบูรณ์ และหวังว่าจะให้บริการประชาชนได้แบบ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ นี่คือสิ่งที่เราทำกฎหมายฉบับนี้ออกมา

ประเทศไทยยังไงก็รอด สร้าง ‘ค่านิยมร่วม’ ที่ถูกต้องร่วมกัน

นางสาวอ้อนฟ้าย้ำว่า “ยังไงประเทศไทยก็รอด คนไทยอาจจะดูชิลๆ แต่ถ้าวันหนึ่งถึงจุดที่เขามีความรู้สึกว่า เขาต้องลุกขึ้นมาทำ เขาจะลุกขึ้นมาทำ อย่างเรื่อง Joint KPIs เราใช้เวลาอธิบายให้เหตุผล ถ้าให้เหตุผลจนเขารู้สึกว่ามันใช่ เขาก็จะลุกขึ้นมาทำ ลูกหลานเราเหมือนกัน เขานั่งเล่นอยู่กับบ้าน ไม่อยากทำอะไร แต่ถ้าเราบอกเขาว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะลุกขึ้นมาทำ”

การมี awareness ที่ว่า “แย่แล้วนะ… เดี๋ยวอาจจะเป็น fail state นะ” มันก็ดี เป็นการส่งสัญญาณให้เรามีความรู้สึกว่าเราต้องทำอะไรแล้วนะ แต่ว่าข้อเสีย อาจจะเกิดภาวะเรียกว่าหลอนหมู่ว่าเป็นเช่นนั้น… ซึ่งเดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ มันเป็นสิ่งที่คนพูดปากต่อปาก ต้องตรวจสอบ ดู indicator ต่างๆ ที่ third party เขาทำดูว่า เขามองเราเข้ามาแล้วเป็นยังไง ที่แย่เราก็ยอมรับ เพราะบางอันแย่จริงๆ แต่บางอันเขาก็บอกว่าเราดี แล้วทำไมคนไทยกันเองบอกไม่ดี ต้องพิจารณามันเกิดอะไรขึ้น

วันนี้สถานการณ์เกิดภาวะที่ทำให้เรามีความรู้สึกไม่มั่นใจ trust มันหายไป ภาพที่เราเห็นเป็นอย่างนี้อยู่ แล้วประเทศจะไปยังไง กลุ่มการเมืองที่เป็นผู้นำนโยบาย ที่จะต้องพาประเทศไปข้างหน้า ยังมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน ดังนั้น เราต้องหาข้อเท็จริง หา evidence ที่มันใช่จริงๆ ก่อนมั้ย ก่อนที่เราจะตกใจ

บางอย่างเราก็รู้ชัดๆ อยู่แล้ว เช่น สังคมไทยขาดเรื่อง value ค่านิยมร่วมที่สำคัญร่วมกัน วันนี้ค่านิยมร่วมมันหาย แต่ละคนมีค่านิยมส่วนตัว เพราะว่ามือถือมันทำให้เรา customize ชีวิตเรา แต่ละคนก็จะอยู่ในโลกของตัวเอง

ทันทีที่ค่านิยมร่วมหายไป มันจะไม่เกิด culture แล้วมันจะไม่เกิดความยั่งยืน มันจะเกิด fragmented value ของแต่ละคน ต่างคนต่างอยู่ แล้วก็เห็นแก่ตัว แล้วก็ใช้กติกาของตัวเองหรือใช้กรอบความดีงามของตัวเองในการตัดสินทุกอย่าง ค่านิยมร่วมที่ถูกต้องไม่ได้ถูกสร้างขึ้น

“สมัยเราเด็กๆ เรายังมีสังคมที่เราต้องถูกสร้างค่านิยมร่วมกันในการที่จะไปโรงเรียน กระทั่งการร้องเพลงปลุกใจ หรือเพลงอะไรให้รู้สึกว่ารักชาติ รักคนไทย รักประเทศ ของพวกนี้มันหายไป มันไม่มี พอไม่มี ถามว่าแล้วจะเอาพลังที่ไหนมาช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ

ถามว่าถ้าจะปลุกของพวกนี้ จริงๆ ทุนที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่เป็นทุนที่ละเอียดและมันอธิบายค่อนข้างยาก คือ ทุนด้านสังคมกับทุนด้านสถาบัน(institutional)

ทุนสังคมคือ trust ความไว้เนื้อเชื่อใจกันในสังคม การมีเครือข่ายที่เอื้ออาทรกันในสังคม นี่คือทุนที่สำคัญ ทุนนี้ช่วยให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มาได้ ตอนนั้นเศรษฐกิจตายแค่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่คนไม่ตาย เพราะเขาโตต่อในต่างจังหวัดได้ อันนั้นคือทุนทางสังคม ทุนนี้ต่างหากที่ร่อยหรอ แต่การจะสร้างทุนนี้กลับมาใหม่ เราจะทำยังไงให้คนตระหนักถึงสายใยของครอบครัว ความเห็นอกเห็นใจกันในโรงเรียน มากกว่าการบูลลีกัน เรื่องพวกนี้สำคัญ

ทุนอีกตัวหนึ่งคือ institutional มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็คือระบบราชการ อีกส่วนหนึ่งคือระบบการเมือง เราเล่นแบบเดิมไม่ได้ ทั้งการเมืองและราชการ ก.พ.ร. พยายามปรับเปลี่ยนระบบราชการให้เล่นแบบใหม่อย่างที่เล่ามาทั้งหมด ไม่งั้นสังคมเราไปไม่ได้ การเมืองเขาก็ต้องเปลี่ยน เราก็เห็นอยู่ว่าระยะหลังๆ การอภิปรายข้อมูลดีขึ้นเยอะ วิเคราะห์อะไรดีขึ้นเยอะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ดูแล้วก็ตื่นเต้นไปด้วย เห็นข้อมูลอะไรพวกนี้ รู้สึกว่ามันดีขึ้น มันเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น มันต้องเปลี่ยน อันนี้คือทุนที่สำคัญอีกตัว

ถามว่าจะทำยังไง ย้อนกลับมาเรื่องทุนทางสังคมที่ว่า การจะเกิดทุนทางสังคมหรือการสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายในสังคมได้ เราต้องมีค่านิยมร่วมกันในสังคม ใครจะเป็นคนสร้างค่านิยมร่วมนี้ ผู้นำ ซึ่งก็คือรัฐบาล ต้องสร้าง จำได้ไหมว่าในอดีตเราเคยถูกกรอกหูว่าต้องซื้อสินค้าของไทย นี่คือตัวอย่างที่รัฐบาลสร้างค่านิยมร่วม

อีกตัวอย่างหนึ่ง จำได้ไหมว่าในอดีตกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ขยะล้นมาก แล้วต่อมาเราสามารถลดขยะได้เพราะตาวิเศษ ถามว่าตาวิเศษใครทำ ไม่ใช่รัฐบาล มันคือคนของพวกเรานั่นแหละที่เห็นความสำคัญและช่วยกันรวมกลุ่มและสร้างตรงนี้ขึ้นมา เราพยายามจะสร้างตรงนี้ขึ้นมา ทำยังไงให้มีการรวมกลุ่มกันและพยายามขับเคลื่อน เช่น ที่เชียงใหม่มีสภาลมหายใจ อย่างนี้แหละ เราต้องการแบบนี้ในทุกๆที่ช่วยกันแก้ปัญหา และสร้างความเชื่อมโยง สร้างสายสัมพันธ์กันในสังคม

แต่ถามว่าจะทำตรงนี้ได้ ทำได้ยังไง ส่วนตัวเห็นว่า “สื่อ” ช่วยสร้างค่านิยมใหม่ได้ สื่อคือคนสำคัญในการที่จะช่วยสร้างค่านิยมร่วมในสังคม อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ทุกคนเป็นสื่อได้ ทำให้สื่อกระแสหลักลดแรงลง ลดพลังลง เพราะมันก็จะมีสื่อรายย่อย หรือ influencer จะทำยังไงตรงนี้ เป็นอะไรที่ท้าทายมาก สื่อกระแสหลักเองต้องช่วยคิดว่าทำยังไงที่จะส่งเสริมค่านิยมร่วมที่ดีได้

“ถ้าถามว่าประเทศไทยมีนโยบายมั้ย มี ถ้าเราไปดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพียงแต่มันกว้างและเยอะ สิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลต้องโฟกัสให้แคบว่าในช่วงเวลาที่คุณเข้ามาบริหารงาน 4 ปี คุณจะมุ่งเน้นอะไร ภายใต้กรอบเวลานี้”

สร้าง ‘Culture’ อุดรอยรั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี นางสาวอ้อนฟ้าชี้ว่า การสร้างวัฒนธรรมที่จะทำให้สังคมยั่งยืน เป็นเรื่องใหญ่และระยะยาว เพราะว่าจริงๆ คนที่ชัดเจนที่สุดคือผู้นำ ส่วนตัวพูดเสมอเลยว่า…..

ในทุกหน่วยงาน ถ้าเบอร์หนึ่งไม่โกง ไม่ใช่แค่ไม่โกงคนเดียว ต้องประกาศว่า “ไม่เอาโกง” ข้างล่างจะกล้าโกงมั้ย และยังต้องเล่นงานคนที่โกง แต่ถ้าเบอร์หนึ่งมาแล้ว นั่งงุบงิบ ไม่ทำอะไรเลย… จบ มันคือ tone form the top ที่ต้องชัดลงมาว่าค่านิยมที่พึงประสงค์คืออะไร

ยกตัวอย่างสิงคโปร์ มีช่วงหนึ่งเขาบอกว่า make kindness culture ทำ kindness ให้เป็น culture ทำความเมตตา ความเป็นมิตรไมตรีให้เป็นวัฒนธรรม ติดอยู่ตามป้ายที่ต่างๆ ก็เลยถามเพื่อนสิงคโปร์ว่าทำไมถึงเขียนอันนี้ขึ้นมา เพื่อนบอกว่าสิงคโปร์ช่วงนั้นเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็ว ทำให้คนไม่สนใจซึ่งกันและกัน เพราะมุ่งแต่จะทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือทำธุรกิจตัวเองมากกว่า

สิ่งที่รัฐบาลเป็นห่วงคือ มันจะขาดความเชื่อมโยงทางสังคม หรือเครื่อข่าย หรือความเป็นเพื่อนกันในสังคม ก็เลยพยายามทำ make kindness culture เมื่อไปดูรายละเอียดมีการทำเป็นขั้นตอน เช่น วันนี้คุณได้ทักเพื่อนบ้านบ้างรึยัง คุณได้คุยกับเพื่อนบ้านมั้ย คุณรู้จักเขามั้ย เป็นต้น เพราะเขาพยายามต้องการให้สังคมไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าแต่ละคนต่างอยู่ ต่างทำของตัวเอง

“อันนี้ส่วนหนึ่งเป็น tone form the top จากนโยบาย ก็ย้อนกลับมาถามประเทศไทยเราเหมือนกัน ควรจะมีของพวกนี้บ้าง บางทีนะ คำขวัญวันเด็กเรา มันจบที่วันเด็ก เราก็รู้สึกว่าจริงๆ ถ้ามันเป็น tone from the top มันสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้”

“แต่ถ้าพูดว่าต้องการให้เกิดทั้งสังคมอย่างที่สิงคโปร์เขาทำ กระทรวงวัฒนธรรมของสิงคโปร์เขาเป็นเจ้าของเรื่องนี้ แล้วเขามีหน้าที่จะทำยังไงให้การมีเมตตา ความเป็นมิตรไมตรี ถือเป็นวัฒนธรรมของสิงคโปร์ให้ได้ เขายังทำไม่เสร็จหรอก แต่เขายังทำถึงทุกวันนี้ เขาใช้ตัวนี้อุดรอยรั่ว เราก็ต้องอุดบ้าง รอยรั่วเราก็เยอะ”

พัฒนาคนรุ่นหลังให้มีคุณภาพมากกว่าคนรุ่นปัจจุบัน

นางสาวอ้อนฟ้าระบุด้วยว่า บทบาทของ ก.พ.ร. เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่เชื่อมโยงให้ประเทศรอดได้ เพราะ ก.พ.ร. มีหน้าที่ดูแลภาพรวมระบบราชการทั้งหมด ตั้งแต่โครงสร้างว่าเขามีภารกิจอะไร เขาจัดโครงสร้างยังไง เขาทำงานยังไง แล้วผลเป็นยังไง ก.พ.ร. ทำหน้าที่มอนิเตอร์

“ทันทีที่เรารู้ว่ามันไม่ค่อยตอบโจทย์ประชาชนแล้วนะ เราจะแก้มันยังไง ทันทีที่เรารู้ว่าวันนี้มีนโยบายใหม่ๆ มา แต่กลไกมันยังไม่รองรับนโยบาย เราที่มาทำ Joint KPIs ให้มันตอบโจทย์ หรือทันทีที่เรารู้ว่า ถ้าปล่อยให้เดินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันจะไม่ไหวนะ เราก็แก้กฎหมาย แก้กฎระเบียบที่เป็นกติกาในการทำงานของหน่วยงานราชการ อันนี้คือสิ่งที่เราทำ จริงๆ เราก็คือส่วนหนึ่งในการที่ทำให้ระบบราชการทำสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ และสามารถช่วยขับเคลื่อนประเทศ

ก.พ.ร. มีวิสัยทัศน์ว่ามีหน้าที่ขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการตามหลักธรรมภิบาล มันไม่ใช่แค่นั้น แต่เพื่อประชาชน และเพื่อการพัฒนาของประเทศ ต้องดูว่าประชาชนต้องได้ประโยชน์ และระยะยาวประเทศต้องไปได้ คือสังคมต้องไปได้ เราไม่ได้จบอยู่แค่ว่า how แต่เราจะบอกว่า why ทำไมเราต้องทำ

พร้อมบอกว่าตอนนี้ ก.พ.ร. ให้ความสำคัญเรื่องคนมากที่สุด ทำอย่างไรให้คนของเรามีคุณภาพ และประเทศจะพัฒนาได้ คนรุ่นหลังต้องมีคุณภาพมากกว่าคนรุ่นเรา

ส่วนตัวพูดเสมอว่า ก.พ.ร. จะดีขึ้นได้ เด็กๆ ก.พ.ร.ต้องเก่งกว่าพวกเราผู้บริหาร เพราะเราคืออดีต เขาคืออนาคต เช่นเดียวกัน ประเทศจะไปได้ เด็กรุ่นใหม่ต้องมีคุณภาพมากกว่าคนรุ่นปัจจุบัน ทำยังไงให้เด็กรุ่นใหม่สามารถมีคุณภาพมากกว่าคนรุ่นปัจจุบันบนมาตรฐาน international standard คือต้องแข่งกับคนอื่นได้ด้วย อันนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดในเรื่องของคน

อย่างที่พูดถึงเรื่อง PISA ก.พ.ร. ก็พยายามขับเคลื่อนเรื่อง PISA แต่มันคือเรื่องการศึกษา แค่ด้านเดียว มันจะมีเรื่องทักษะ skill ทำยังไงเราจะ catch up skill จะ reskill, upskill แรงงานของเราในการที่จะตอบโจทย์ AI ตอบโจทย์เทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต ดังนั้น tone form the top ต้องชัด และลงทุนด้านเทคโนโลยี ประเทศไทยคิดว่าไม่หมดหวัง แต่ว่าต้องช่วยกัน

ประเทศไทยต้องสามัคคีจะดี เราต้องหาคนที่พร้อมจะทำให้เจอ แล้วช่วยกันจับมือทำดีกว่า ยังเชื่อเสมอว่าคนไทยมีคนดีๆ เชื่อเสมอว่ามีข้าราชการดีๆ อยู่อีกเยอะ เราหาเขาให้เจอ ดึงเขามาให้เขาได้ปล่อยพลังประเทศไทยจะไปไกลกว่านี้

ปฏิรูประบบราชการ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด

นางสาวอ้อนฟ้ากล่าวต่อว่า ประเด็นคือคนไทยของเรามีไอเดียดีๆ เยอะ แต่บางทีไม่ได้ถูกเอาไปใช้ เอาไปทำให้เกิดจริง และเราก็ไม่มีเวทีที่มาระดมไอเดียกันจริงๆ แล้วช่วยกันสร้างให้มันเกิด ยกตัวอย่าง ก.พ.ร. เรามีกลไกที่เรียกว่า hackathon เราทำ hackathon ให้หน่วยงาน ล่าสุดทำเรื่อง road safety กับกระทรวงคมนาคมว่าให้ประชาชนเข้ามาเสนอเลยว่าจะทำ road safety ยังไง เพราะคนไทยตายบนถนนเยอะมาก ก็มีการนำเสนอออกมา

จริงๆ เราทำอันนี้มาน่าจะ 10 กว่าครั้งแล้ว เราเคยทำหลายเรื่องแล้วมันออกมาเป็นข้อเสนอดีๆ เยอะมากเลย เช่นเรื่องของการจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ เรื่องของการทำ portal ก็มาจากทำ hackathon คือเราเชื่อว่าจริงๆ ประชาชนเขามีแนวคิดอะไรดีๆ เยอะ แต่เขาไม่มีโอกาส และไม่มีเวทีเข้ามาบอก แล้วเวลามาบอก มันไม่ใช่มาบอกอยากทำแค่นี้ แต่ช่วยกันเลยว่าจะดีไซน์ทำอะไร และออกมา แล้วเอามา implement เลย ซึ่งตัวนี้เราทำทุกปี

สิ่งที่เราเรียกว่า open government คือต้องให้ประชาชน เสียงประชาชนมีความหมาย เอาเสียงของประชาชนมาช่วยกันขับเคลื่อนนโยบาย เอาเสียงของประชาชนมาแก้ไขการทำงานภาครัฐ เอาเสียงของประชาชนเข้ามาช่วยกัน find tune กันเองในหมู่ประชาชน ในการช่วยแก้ไขปัญหา

มีคนที่สนใจเขาเข้ามาทำ hackathon เสร็จแล้ว ก.พ.ร. ส่งให้หัวหน้าหน่วยงานไปช่วยขับเคลื่อนต่อ ส่วนหนึ่งเป็นการปรับ mindset ข้าราชการ เพราะข้าราชการเองส่วนใหญ่ทำงานแบบ inside-out แต่จริงๆ outside-in จะช่วยได้ดีที่สุด ที่ ก.พ.ร. ทำมาหลายๆ เรื่องได้เรา outside-in เราคุยกับคนนอก เราคุยกับคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆ เราคุยกับ stakeholders แล้วเราเอามาปรับแก้

นางสาวอ้อนฟ้าย้ำว่า สิ่งที่ ก.พ.ร. ทำเพื่อวางระบบให้ประเทศไปข้างหน้าได้จะมีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ 1. digital transformation ในภาครัฐทั้งหมด เพื่อจะให้บริการประชาชน และทำงานด้วยกันเอง จะได้ลดต้นทุนของประชาชนและผู้ประกอบการบริษัทต่างๆ และ2.เรื่องของการเป็น open government ที่จะเอาเสียงของประชาชนเข้ามาให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด อย่าง สระบุรี sandbox เป็นตัวอย่างของ open government

ในส่วนของการปฏิรูประบบราชการ ถ้าในมุมมองส่วนตัวคือการปฏิรูป 3 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่สำคัญที่สุด 1) การปฏิรูป citizen experience ประสบการณ์ของประชาชน หากข้าราชการจะไปปรับตำแหน่ง ปรับโครงสร้าง แต่ประชาชนไม่ได้อะไรก็ไม่ควรทำ สำคัญที่สุดคือราชการต้องเปลี่ยน citizen experience ให้ได้ การเปลี่ยน citizen experience คือการปรับบริการภาครัฐใหม่ให้ประชาชนรู้ว่ามันสะดวก มันโปร่งใส แล้วมันง่าย แล้วมันช่วยตอบโจทย์ชีวิตเขา เราถึงทำเรื่อง digital service เป็นเรื่องสำคัญที่ขับเคลื่อนมาตลอด 2) ปฏิรูปกระบวนการทำงานของภาครัฐ ทำยังไงให้ประชาชนได้เห็นว่าภาครัฐทำงานคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ คุ้มกับภาษีที่เขาเสีย แล้วก็ทำภาครัฐเป็นดิจิทัล แล้วเราก็ปรับเรื่องกฎหมายอำนวยความสะดวกฯ เอากฎหมายต่างๆ เข้ามาปรับกติกาการทำงานใหม่ให้เขาเปิดกว้างในการรับฟังประชาชน ให้เขาคำนึงถึงประชาชนมากขึ้น มุ่งเป้าหมายร่วมกัน แก้ปัญหาเรื่องการบูรณาการ เอา Joint KPIs เข้ามาปรับกระบวนการทำงานภาครัฐ 3) ปฏิรูปโครงสร้างของระบบราชการว่าจะปรับขนาด หรือปรับหน่วยงานอะไรเป็นอะไร จะควบรวมกันยังไง เป็นต้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

ปศส. สถาบันพระปกเกล้าปันน้ำใจ มอบเงิน และเวชภัณฑ์ 320,000บาท ให้โรงพยาบาลน่าน

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘ระบบการค้าโลก’ ตายไปแล้ว ‘สองฉากทัศน์’ ระเบียบการค้าใหม่ของโลกใน “ยุคภาษี”

14 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

เดือดชายแดนสระแก้ว! กัมพูชาจี้ไทยเปิดจุดผ่านแดนบ้านหนองจาน ถอนกำลัง-รั้วลวดหนามทันที

The Better

กาบกล้วยน้ำว้าตะนาวศรี สู่งานจักสานเพิ่มมูลค่า

สำนักข่าวไทย Online

ป.5 ร้องเพลงตามตลาดนัด แบ่งเบาภาระครอบครัว

สำนักข่าวไทย Online

เปิดประวัติ วัดเครือวัลย์วรวิหาร พระอารามหลวง แห่งบางกอกใหญ่

News In Thailand

สถานการณ์ชายแดนสุ่มเสี่ยงปะทะรอบ 2

สำนักข่าวไทย Online

HER HYNESS เอาชนะคู่แข่งอย่างไร ในสมรภูมิสกินแคร์เดือด

THE STANDARD

“บิ๊กเต่า” เผยพบข้อมูลวัดพระบาทน้ำพุผิดปกติ แต่ขอเวลาตรวจสอบให้รอบด้าน จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฎ จ่

ข่าวช่องวัน 31

ททท.ชวนเที่ยว งาน “OSOTHO & FRIENDS Garden Fair” ฉลอง 65 ปี นิตยสารท่องเที่ยว อ.ส.ท.

อีจัน

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...