‘ระบบการค้าโลก’ ตายไปแล้ว ‘สองฉากทัศน์’ ระเบียบการค้าใหม่ของโลกใน “ยุคภาษี”
รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
The New York Times ได้รายงานว่า ภาษีทรัมป์เริ่มสร้างรายได้จำนวนมากให้กับรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้แห่งใหม่ สำหรับประเทศอย่างสหรัฐฯ ที่มีหนี้สินจำนวนมาก จนผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯอาจจะเริ่มหันมาอาศัยเป็นแหล่งทำรายได้เข้ารัฐ ช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2025 รายได้จากภาษีศุลกากรมีมากถึง 152 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว 78 พันล้านดอลลาร์ เฉพาะเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีรายได้ภาษี 29.6 พันล้านดอลลาร์
โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า ข่าวดีก็คือ ภาษีทำให้เงินดอลลาร์ไหลกลับมาสหรัฐฯหลายพันล้านดอลลาร์ ภาษียังแสดงว่า วิธีการค้าของทรัมป์ทำให้อเมริการเป็นฝ่ายชนะ นักวิเคราะห์เองก็มองว่า หากไม่มีการไปแตะต้องอัตราภาษี ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะทำให้สหรัฐฯมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยอุดช่องโหว่กฎหมายลดภาษีที่ผ่านรัฐสภาไปแล้ว ซึ่งทำให้รัฐบาลขาดรายได้ไป 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ รายได้ภาษีที่มากทำให้ยากที่ในอนาคต สหรัฐฯจะยกเลิกภาษีดังกล่าว
“ระบบค้าเสรี” ไม่กลับมาอีกแล้ว
บทความชื่อ A New World Order of Tariffs ของ nationalinterest.org กล่าวว่า โลกคงไม่หันกลับมาสู่ระบบการค้าเสรีอีกแล้ว เศรษฐกิจระหว่างประเทศที่แบ่งเป็นส่วนๆ เพราะมาตรการกีดกันด้านภาษี อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น เมื่อมองไป 10 ปีข้างหน้า ภาษีสหรัฐฯและนโยบายอุตสาหกรรม รวมทั้งการลดหย่อนภาษีและการอุดหนุนทางการเงิน จะยังคงเป็นพื้นฐานนโยบายการค้าสหรัฐฯ การสนับสนุนทางการเมืองเรื่องภาษี ไม่ได้มีแค่พวกพรรครีพับลิกันที่มีแนวคิด MAGA (ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง) เท่านั้น พวกฝ่ายก้าวหน้าของพรรคดีโมแครทก็สนับสนุนเรื่องภาษี
เนื่องจากอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์และการมีขนาดของตลาดที่ใหญ่ ทำให้สหรัฐฯยังคงมีบทบาทกำหนดระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แต่ระบบนี้จะมีผลทำให้การค้าโลกและประสิทธิภาพเศรษฐกิจระหว่างประเทศลดลง เงินเฟ้อสูงขึ้น และประเทศอย่างสหรัฐฯหันไปพึ่งตัวเองในการผลิตมากขึ้น เงินดอลลาร์จะค่อยๆมีบทบาทลดลง ทั้งในแง่ของการชำระเงินและการเป็นเงินทุนสำรอง
ส่วนกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) จะมีบทบาทสำคัญในระบบใหม่นี้ ทั้งนี้เพราะนโยบายและท่าทีของประเทศโลกใต้ ไม่ได้มีทัศนะมองว่า “โลกที่แบ่งเป็น 2 ขั้ว” จะเกิดขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ได้มองว่าโลกจะเกิดสงครามเย็น ระหว่างสหรัฐฯกับจีน และไม่ได้ต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ภาษีทรัมป์จะเป็นสิ่งที่ถูกยึดติดอย่างเหนียวแน่น เพราะภาษีจะสร้างเขตอิทธิพลทางอำนาจของตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บริษัทเหล็กของสหรัฐฯคือภาคส่วนเศรษฐกิจที่สนับสนุนต่อการขึ้นภาษี เพราะภาษีทำให้สามารถปรับราคาเหล็กสูงขึ้น เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำสหรัฐฯต่อจากทรัมป์ ภาษีทรัมป์ก็จะยังดำรงอยู่
ระบบการค้าโลกที่ไร้ประเทศผู้นำ
เมื่อสหรัฐฯไม่เข้ามานำระเบียบการค้าเสรีโลกอีกต่อไป ก็ไม่มีประเทศอื่นเข้ามาทำหน้าที่นี้แทน จีนพยายามเสนอตัวเองว่าเป็นผู้นำใหม่ของการค้าเสรี เศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ และความเป็นระเบียบ แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างอธิบายว่า ทำไมจีนจะไม่มาเป็นผู้นำ
ประการแรก หากจีนเข้ามานำ มีเพียงไม่กี่ประเทศที่จะเดินตาม
ประการที่ 2 จีนยังไม่อยู่ในฐานะมหาอำนาจโลก ขาดความสามารถที่จะนำระบบการค้าโลก และจีนเองยังขาดความมุ่งมั่นในเรื่องการเป็นผู้นำนี้
ประการสุดท้าย ระบบการค้าโลก ที่ไม่มีสหรัฐฯ จะเผชิญปัญหามากมาย เพราะสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่คือ 30% ของกำลังซื้อครัวเรือนทั่วโลก
กลุ่ม EU จึงเป็นกลุ่มประเทศที่จะมีโอกาสเข้ามานำระบบการค้าเสรีของโลก แต่การตัดสินใจหลายเรื่องของ EU ต้องอาศัยฉันทานุมัติจากชาติสมาชิก 27 ประเทศ ทำให้ระบบธรรมภิบาลของ EU ไม่เอื้ออำนวย ที่จะเข้ามามีบทบทนำของระบบกการค้าใหม่ของโลก
บทความ A New World Order of Tariffs วิเคราะห์ว่า หากสหรัฐฯและประเทศอื่น ไม่สามารถเข้ามานำระบบการค้าเสรีโลก ฉากทัศน์ (scenario) หรือสถานการณ์ในอนาคตของระบบการค้าโลกเป็นไปได้ 2 แบบ คือ (1) สหรัฐฯหันมาเป็นผู้นำกลุ่มการค้า ที่ประกอบด้วยกลุ่ม G-7 ได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ บวกกับอินเดียและตะวันออกกลาง (2) ระเบียบการค้าโลกที่มีรากฐานอยู่ที่ภาษี แต่ขาดองค์กรการค้าขนาดใหญ่ กับการเกิดกลุ่มการค้าภูมิภาคที่อ่อนแอ
เว็บไซต์ Bloomberg.com ก็ถามความเห็นผู้เชี่ยวชาญการค้าว่า หากทรัมป์หมดอำนาจการเมืองไปแล้ว ระบบการค้าโลกจะเป็นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ 2 สมมุติฐาน คือ (1) สหรัฐฯยังคงรักษานโยบายกีดกันการค้าด้วยภาษีต่อไปหรือไม่ หรือสหรัฐฯจะหาทางมาปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้าที่ตกต่ำไปแล้ว และ (2) ประเทศในโลกหันกลับมายึดถือระเบียบการค้าของ WTO หรือว่าถอนตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มภูมิรัฐศาสตร์
นโยบายอุตสาหกรรมบนพื้นฐานภาษี
บทความ A New World Order of Tariffs กล่าวว่า ฉากทัศน์ระบบการค้าใหม่ของโลกที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ “ระเบียบการค้าบนพื้นฐานภาษี” บวกกับกลุ่มการค้าภายในภูมิภาค ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า สิ้นปี 2025 อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยจากสินค้านำเข้าและจากวัตถุดิบนำเข้าของสหรัฐฯ เรียกว่า Effective Tariff Rate จะอยู่ที่ 15% ที่สูงเป็นประวัติการณ์ นับจากทศวรรษ 1930 ซึ่งภาษีอัตรานี้คงจะมีผลไปอีกหลายปี
ใน 10 ปีข้างหน้า นโยบายการค้าสหรัฐฯ จะยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการค้าโลก ทรัมป์อาศัยบุคลิกส่วนตัวที่ใช้การข่มขู่และตัดสินใจรวดเร็ว มาทำให้สหรัฐฯได้เปรียบเหนือประเทศอื่น ประธานาธิบดีในสมัยของเจดี แวนซ์ คงจะใช้ยุทธวิธีอย่างเดียวกัน เพื่อเลียนแบบทรัมป์ในฐานะครูการเมือง หากเป็นสหรัฐฯในสมัยของมาร์โค รูบิโอ หรือผู้สมัครจากรีพับลิกันคนอื่น วิธีการเผชิญหน้าและความไม่แน่นอน จะลดน้อยลง เพราะบุคลิกต่างกัน หากเป็นรัฐบาลดีโมแครท จะสนใจเรื่องสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจ
ปฏิกิริยาของประเทศต่างๆต่อระบบการค้าที่เก็บภาษีสูง เป็นปัจจัยที่จะมีส่วนกำหนดอนาคตระบบการค้าใหม่ของโลก ประเทศต่างๆคงจะหาทางหลักเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้าใหม่กับสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ จุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์กับสหรัฐฯ จะยังมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการค้าแบบทวิภาคี
บางประเทศจะมีปฏิกิริยาต่อสหรัฐฯ โดยการใช้ยุทธศาสตร์ “ประกันความเสี่ยง” ยุทธศาสตร์บริหารความเสี่ยงนำมาใช้ปกป้องตัวเอง จากความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ โดยการพัฒนาการค้าที่เข้มแข็งและราบรื่นกับประเทศอื่น บางประเทศใช้ยุทธศาสตร์ “ร่วมกับหลายฝ่าย” (multi-alignment) แทนที่จะเลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็หันมาสร้างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจหลายฝ่ายพร้อมกันไป แบบเดียวกับอินเดียที่ใช้นโยบายนี้มาก่อนหน้ารัฐบาลทรัมป์
ภาษีสูงทำให้โลกเติบโตลดลง
นโยบายอุตสาหกรรมบนฐานภาษีของสหรัฐฯ กับปฏิกิริยาประเทศต่างๆ จะนำไปสู่ดุลยภาพใหม่ ที่มีลักษณะสำคัญบางอย่าง ภาษีอัตราสูงมีลักษณะเป็น “ภาษีถดถอย” (regressive tax) ที่กระทบผู้บริโภครายได้ต่ำ ทำให้การบริโภคลดลง สินค้าแพงขึ้น สิ่งนี้จะทำให้การค้าโลกลดลง และกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
โดยรวม นโยบายอุตสาหกรรมบนฐานภาษี จะสร้างแรงจูงใจแก่การผลิตเพื่อตลาดภายในประเทศ การพึ่งตัวเอง และไม่อิงอาศัยความสัมพันธ์กับประเทศอื่น นับจากนี้ ประเทศต่างๆจะใช้นโยบายการค้าเรียกว่า Mercantilist ที่มองว่า ความมั่งคั่งของชาติมาจากการส่งออกให้มาก และลดการนำเข้าลง นโยบาย Mercantilist มีมากกว่าเรื่องภาษี แต่จะรวมไปถึงข้อตกลงการซื้อขาย ข้อตกลงการลงทุน และการอุดหนุนทางการเงิน โดยสหรัฐฯจะกลายเป็นผู้นำในเรื่องนี้
นักเศรษศาสตร์เห็นตรงกันว่า การค้าเสรีทำให้เกิดประโยชน์ที่กระจาย ส่วนต้นทุนผลกระทบกระจุกตัว นโยบายภาษีการค้าที่สูง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และผลิตภาพ ผลกระทบด้านลบนี้กระจายกว้าง คนรายได้ต่ำใช้เงินในสัดส่วนสูงซื้อสินค้านำเข้า อุตสาหกรรมการผลิตของคนใช้แรงงาน อาศัยวัตถุดิบจากต่างประเทศ และรายได้ของเกษตรกรอ่อนไหว ต่อการซื้อสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในอนาคต สิ่งที่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการจ้างงาน ไม่ใช่การค้าเสรีของโลก แต่เป็นปัญญาประดิษฐ์ ที่ทั้งคุณประโยชน์กระจายกว้างขวาง และความเสียหายก็กระจายด้วยเช่นกัน
เอกสารประกอบ
Trump’s Tariffs Are Making Money. That May Make Them Hard to Quit, AUG 3, 2025, nytimes.com
A New World Order of Tariffs, 6 AUG 2025, nationalinterest.org