"ฉันทวิชญ์" เผยเจรจาการค้าสหรัฐคืบหน้า เหลือถกรายละเอียดเชิงเทคนิค
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือ 19% จากเดิม 36% ว่า ขณะนี้แถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างรอสหรัฐฯ เผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่ง Joint Statement ค่อนข้างนิ่งแลเ้ว แต่ขั้นตอนต่อไปคือการเจรจาในเชิงเทคนิค
เพราะ Joint Statement ถือเป็นกรอบข้อตกลงในภาพรวมที่ยังไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่การเจรจาเชิงเทคนิค ซึ่งมีรายละเอียดมากถึง 20-30 หน้า ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินงานในส่วนนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะรายละเอียดเยอะมาก เพื่อให้ไทยไม่เสียประโยชน์ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ ครม. และรัฐสภาต่อไป
นายฉันทวิชญ์ ระบุว่า ลักษณะการเจรจาของสหรัฐฯ มักเปิดพร้อมกันหลายประเด็น และแบ่งการพูดคุยตามแต่ละหมวด (Chapter) โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะเข้าหารือกับฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อหาจุดร่วม หากข้อเสนอไม่ตรงกันก็จะต้องใช้เวลาเจรจาต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่ากระบวนการอาจใช้เวลาพอสมควร แต่จะไม่ยืดเยื้อจนเกินไป
“เราต้องคิดรอบคอบ เพราะรายละเอียดเยอะมาก ดังนั้นเราต้องสร้างเงื่อนไขให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีเวลาปรับตัวมากที่สุด เพื่อให้การค้ากับสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และกระทบเสียหายน้อยที่สุด โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” นายฉันทวิชญ์กล่าว
นายฉันทวิชญ์ ยังได้เปิดเผยการวิเคราะห์ภาพรวมการส่งออกของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ โดยจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.กลุ่มเร่งส่งออก (Front-load)
เป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการภาษีใหม่จะประกาศออกมา เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกในช่วงต้นปีเติบโตสูงมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คาดว่าจะชะลอตัวลง
2.กลุ่มสินค้าขายดีต่อเนื่อง
เป็นสินค้าที่มีความต้องการจริงในตลาด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษี เช่น ผลไม้สด ผลไม้แห้ง และสินค้าเกษตรบางประเภท ตัวเลขสะท้อนชัดว่าไทยยังคงมีจุดแข็งด้านสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งยังเติบโตได้ดีและน่าจะเป็นโอกาสสำคัญต่อภาคการผลิตและเกษตรกรรมในระยะต่อไป
3.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาษี
เป็นสินค้าที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูง 25% เช่น รถยนต์และเหล็ก ส่งผลให้เริ่มมีสัญญาณการส่งออกติดลบ ซึ่งไทยจำเป็นต้องติดตามและระมัดระวังอย่างใกล้ชิด
นายฉันทวิชญ์กล่าวว่า ภาพรวมการส่งออกยังถือว่าเป็นข่าวดี เนื่องจากหลายรายการสินค้าเติบโตได้ดี แต่ต้องพิจารณาเชิงลึกในแต่ละหมวดสินค้าเพื่อประเมินผลกระทบและหาแนวทางเสริมศักยภาพในกลุ่มที่ยังมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และสุขภาพ ที่มีแนวโน้มได้รับความต้องการเพิ่มขึ้นในตลาดโลก