‘นายกรัฐมนตรี’ หลัง 29 สิงหาคม 2568
หลังวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ไม่ว่าจะเป็น “แพทองธาร” ที่ยังอยู่หรือใครก็ตามที่ถูกดันขึ้นมาแทน เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยพลังแห่งความหวัง หากแต่เริ่มต้นด้วย “แรงส่งที่ร่วงหล่น” และ “ความน่าเชื่อถือที่พร่องไปจนหมด” สิ่งที่ปรากฏจึงไม่ใช่การก้าวไปข้างหน้า แต่คือการเมืองที่ “ออกสตาร์ทด้วยจังหวะถดถอย” ตั้งแต่วันแรก
วันที่ 29 สิงหาคม 2568ไม่ใช่เพียงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินชะตา แพทองธาร ชินวัตรในคดีคลิปเสียงกับฮุน เซน หากแต่คือ เส้นแบ่ง ที่ทำให้ทั้งประเทศต้องตอบคำถามว่า “การเมืองไทยหลังจากนี้ จะเริ่มต้นด้วยพลัง หรือสะดุดตั้งแต่ก้าวแรก”
ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ภาพใหญ่ที่เห็นอยู่แล้วคือ นายกรัฐมนตรีไร้แรงส่งตั้งแต่วันแรก หากเป็นคนเดิมก็อยู่ต่อท่ามกลาง บาดแผลศรัทธา ที่สังคมไม่ลืม หากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เก้าอี้ก็โยกคลอนอยู่ดี เพราะไม่ได้ขึ้นมาพร้อมความหวัง แต่ขึ้นมาเพียงเพื่อให้ เกมเดินต่อ
รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ยังเหลืออยู่ในบัญชีตามเกณฑ์กฎหมาย ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองที่จะเสนอชื่อได้ต้องมี สส. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนทั้งหมดในสภา ได้แก่ ชัยเกษม นิติสิริ, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, อนุทิน ชาญวีรกูล, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทว่าเมื่อพิจารณาทีละชื่อ จะพบว่าทั้งหมดไม่ได้มาพร้อม พลังผลักดันใหม่ ให้การเมืองไทย เก้าอี้นายกฯ หลัง 29 สิงหาคม จึง เริ่มต้นด้วยจังหวะถดถอย มากกว่าจะเป็นการก้าวไปข้างหน้า
หาก แพทองธาร รอด จะอยู่ต่อด้วย ร่างที่บอบช้ำ และไม่ใช่การ “เริ่มต้นใหม่” แต่คือการคงอยู่ท่ามกลาง รอยร้าวของความเชื่อมั่น หากไม่รอด เก้าอี้นายกฯ ก็จะถูกส่งต่อไปยังชื่ออื่นในบัญชี แต่ไม่ว่าฉากทัศน์ไหน ภาพที่ตามมายังคงเป็น นายกรัฐมนตรีไร้แรงส่ง
เพราะในทางการเมือง แรงส่ง ไม่ได้หมายถึงแค่เสียงในสภา หากคือ พลังผลักดัน ที่ทำให้รัฐบาลเริ่มต้นด้วย ศรัทธาและความมั่นใจ ทั้งจากพรรคร่วมที่เหนียวแน่น, ประชาชนที่ยังเชื่อว่ารัฐบาลมีทิศทาง, และศักยภาพในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญโดยไม่ติดหล่มต่อรอง
นี่คือปัญหาที่แท้จริง การเมืองไทยในห้วงเวลานี้ ขาดแรงส่งแทบทุกมิติ ทั้งโครงสร้างเสียงที่ไม่มั่นคง ความไว้ใจจากสังคมที่สั่นคลอน และนโยบายที่ถูกดักด้วยเกมต่อรอง ผลคือไม่ว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นนายกฯ หลัง 29 สิงหาคม ก็จะ เริ่มต้นด้วยจังหวะสะดุดตั้งแต่ก้าวแรก
สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือ ผู้ใดก็ตามที่ขึ้นมาถือธงต่อไป จะเผชิญโจทย์ใหญ่ไม่ใช่แค่การ “นั่งเก้าอี้” แต่คือการ ดิ้นรนหาพลังผลักใหม่ ให้ประเทศ และนั่นคือสิ่งที่ชื่อถัดไปในบัญชีต้องพิสูจน์
หาก แพทองธาร ไม่รอดจากคำวินิจฉัย ชื่อที่ถูกหยิบขึ้นมาแทบอัตโนมัติคือ ชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแคนดิเดตนายกฯ จากเพื่อไทย ที่ ทักษิณ เคยส่งสัญญาณไว้ชัดเจนว่า “ถ้าอุ๊งอิ๊งไม่รอด ต้องดันชัยเกษม”
แต่ปัญหาคือ…สังคมไทยแทบไม่เคยเห็น ประกายความเป็นผู้นำ จากชายคนนี้ ชัยเกษมมิใช่แม่ทัพผู้สร้างแรงสะเทือน หากเป็นเพียง เศษเสี้ยวของระบอบทักษิณ คล้าย “อ้วน ภูมิธรรม” ที่คอยเติมเกมมากกว่าปลุกไฟในใจมวลชน ภาพที่ปรากฏ “ชัยเกษม” จึงไม่ใช่“ผู้นำที่จุดประกาย” หากแต่เป็นเพียง หุ่นเงียบที่ถูกจัดวางไว้ตรงตำแหน่ง
คำถามที่กัดกร่อนคือ แรงส่งเพียงพอหรือไม่ ข่าวลือเรื่องสุขภาพทำให้หลายคนหวั่นว่าอาจไปได้ไม่ไกล ภาพนายกฯ ที่ขึ้นไปพร้อมเงาของความโรยรา ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่า รัฐบาลนี้หมดแรงส่งตั้งแต่ต้น
และอย่าลืมแผลเก่าทางการเมือง การเคลื่อนไหวเรื่อง มาตรา 112 ที่เคยทำให้ถูกยื่นฟ้องข้อหาล้มล้างการปกครอง แม้ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง แต่ความทรงจำก็ยังติดค้างในสังคม และย่อมเป็น เสี้ยนหนามในสภา พรรคร่วมหลายพรรค โดยเฉพาะฝ่ายที่ถือธงปกป้อง 112 ชัดเจน คงไม่อยากยกมือสนับสนุนง่ายๆ?
ดังนั้น แม้ชื่อ ชัยเกษม จะถูกมองว่าเป็น ตัวเต็งตามกลไก แต่แท้จริงแล้วคือ ตัวแทนของระบอบ มากกว่าผู้นำที่มีบารมีส่วนตัว เส้นทางนายกฯ หลัง 29 สิงหาคม จึงเต็มไปด้วยหลุมพราง สุขภาพที่เป็นคำถาม บุคลิกที่ขาดรัศมี และเงื่อนไขทางการเมืองที่พร้อมสะดุดได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางความลังเลในชื่อ ชัยเกษม แวดวงการเมืองก็เริ่มเหลียวไปมองอีกชื่อหนึ่ง คือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แคนดิเดตนายกฯ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ คนที่ในยามปกติอาจถูกจัดให้อยู่แถวหลัง แต่เมื่อสนามการเมืองเต็มไปด้วยตัวเต็งที่มีแผล เสียงกระซิบว่าพีระพันธุ์อาจเป็น ม้ามืด ก็เริ่มดังขึ้น
เกร็ดที่ทำให้ชื่อพีระพันธุ์มีรสชาติทางการเมืองมากขึ้น คือข่าวลือว่าได้เข้าไปพบ ผู้มีบารมีแห่งตระกูลชิน ผู้ที่หลายฝ่ายยังมองว่าเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจในเครือข่ายการเมืองนี้ แม้ไม่มีการยืนยัน แต่เพียงแค่เล่าลือก็เพียงพอจะทำให้หลายฝ่ายหูผึ่ง ว่าอาจมีการวางหมากใหม่เพื่อหาคนที่ไม่ใช่เพื่อไทยตรงๆ แต่สามารถ เชื่อมสะพานระหว่างอำนาจเก่าและใหม่ ได้อย่างแนบเนียน
อย่างไรก็ตาม เส้นทางนายกฯ ของพีระพันธุ์ก็ไม่ง่าย เพราะนอกจากเสียงกระซิบทางการเมืองแล้ว ยังถูกกดทับด้วย เงื่อนไขทางกฎหมาย จากการยื่นให้ กกต. ตรวจสอบการถือหุ้นบริษัทในระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แม้เรื่องนี้อาจใช้เวลาพิจารณายาว และยังไม่ส่งผลทันที แต่ก็เป็นเงาที่พร้อมจะถูกหยิบมาใช้เป็นอาวุธได้ทุกเมื่อ
และแม้พีระพันธุ์จะถูกพูดถึงในฐานะ สะพานเชื่อมเครือข่ายอำนาจ แต่ในเชิงศรัทธาประชาชนกลับยังไม่ปรากฏแรงหนุนที่มั่นคง ภาพนายกฯ ที่ขึ้นไปโดยไม่มีพลังศรัทธาหนุนหลัง อาจทำให้ตำแหน่งโยกคลอนตั้งแต่วันแรก และนี่เองที่ทำให้ชื่อพีระพันธุ์ แม้ถูกเอ่ยบ่อยในเงามืด แต่ก็ยังรายล้อมด้วยคำถามมากกว่าคำตอบ
อีกชื่อที่ยังคงโผล่มาในสมการคือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะวางมือจากการเมืองและปัจจุบันดำรงตำแหน่ง องคมนตรี แต่ชื่อก็ยังอยู่ในบัญชีแคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาติ
ยามที่สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ตึงเครียด กระแสเรียกหาผู้นำสายความมั่นคง ก็ยังดังขึ้นเสมอ พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่เคยหายไปจากสมการการเมืองไทย
ไม่ใช่เพียงอดีตนายกรัฐมนตรีที่ครองตำแหน่ง เกือบแปดปีเต็ม แต่ยังเป็นบุคคลที่สังคมจำนวนไม่น้อยหยิบมาเปรียบเทียบกับรัฐบาลปัจจุบัน หลายเสียงถึงกับว่า “ยุคลุงตู่ เศรษฐกิจยังดีกว่านี้” หรืออย่างน้อยก็ยังพอมี ผลงานจับต้องได้ ทั้งด้านความมั่นคง การคุมโรคระบาด และโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ๆ
แต่ข้อจำกัดชัดเจนเกินกว่าจะมองข้าม พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะองคมนตรี หากจะกลับมา ต้องลาออกจากตำแหน่ง และแม้กลับมาได้จริง ก็จะดำรงตำแหน่งต่อได้เพียง ปีเศษ ๆ ตามเพดาน แปดปีในรัฐธรรมนูญ ที่นับรวมวาระก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ดังนั้นชื่อของประยุทธ์แม้ยังปรากฏ แต่เป็นเพียง ตัวแปรระยะสั้น ที่ไม่สามารถเป็นคำตอบระยะยาวให้การเมืองไทยได้
สำหรับ อนุทิน ชาญวีรกูล แม้ยังมีชื่อในบัญชีจากพรรคภูมิใจไทย แต่เส้นทางกลับเต็มไปด้วยหลุมพราง ทั้งคดี เขากระโดง และข้อครหาเรื่อง ฮั้ว สว. ที่ถูกเพื่อไทยโจมตีซ้ำไม่หยุด อีกทั้งวันนี้ภูมิใจไทยไม่ได้อยู่ในฐานะ พรรคร่วมรัฐบาล หากแต่กลายเป็น ฝ่ายค้านเต็มตัว ฐานะเช่นนี้ยิ่งทำให้โอกาสถูกดันขึ้นนั่งนายกฯลดต่ำลง
ความซับซ้อนยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาคดี คลิปเสียงแพทองธาร-ฮุนเซน เพราะผู้ยื่นเรื่องคือกลุ่ม สว. เครือข่ายสายสีน้ำเงิน อันมีความเชื่อมโยงกับภูมิใจไทย การจะให้เพื่อไทยกลับลำไปหนุน อนุทิน ขึ้นเป็นนายกฯ จึงดู ย้อนแย้ง แทบเป็นไปไม่ได้ในสายตาหลายฝ่าย
สิ่งเดียวที่ทำให้ชื่อ อนุทิน ยังถูกจับตา คือ ภาพถ่ายกับ นักธุรกิจระดับบิ๊ก ที่มีสายสัมพันธ์โยงใยกับพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรค ภาพนี้ปรากฏขึ้น ก่อนวันวินิจฉัยเพียงไม่กี่วัน ก่อนเจ้าตัวรีบลบออกจาก เฟซบุ๊กส่วนตัว เพียงภาพเดียวก็เพียงพอให้สังคมตั้งคำถามว่านี่คือ สัญญาณของดีลใหม่ ที่อาจเหนือกว่าปมคดี เขากระโดง หรือข้อครหาเรื่อง ฮั้ว สว.
อย่างไรก็ตาม หากประเมินตามสมการจริง โอกาสของ อนุทิน ยังน้อยกว่า ชัยเกษม พีระพันธุ์ และแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะหนึ่ง ถูกตรึงด้วยคดีและแรงกดดันจากเพื่อไทย สอง ความสัมพันธ์ระหว่างสองพรรคเต็มไปด้วย รอยร้าว และสาม ฐานะของภูมิใจไทยในวันนี้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งกุมเกมอำนาจ แม้จะมีสัญญาณดีลใหญ่ปรากฏ แต่ก็ยังเป็นเพียง ความเป็นไปได้ที่ไม่สูงนัก
ส่วน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แม้มีชื่อในบัญชีของพรรคประชาธิปัตย์ แต่บทบาทจริงแทบไม่เหลือ พรรคถูกกลุ่มอื่นยึดจนหมด บทบาทของหัวหน้าพรรคคนเดิมเหลือเพียง “เงาในบัญชี” ชื่อที่มีไว้เพื่อให้ครบพิธี มากกว่าจะเป็นตัวเลือกนายกฯ ที่แท้จริง
หลังไล่ครบทั้งห้าคน สมการการเมืองก็ยิ่งตีวงแคบลง บางคนมีแต่ ข้อจำกัดทางกฎหมาย บางคนแบก บาดแผลทางการเมือง บางคนแทบเหลือเพียง ชื่อในบัญชี หาก ชัยเกษม ยังถูกวางไว้ตามกลไก และ พีระพันธุ์ ถูกเอ่ยในเงามืดเพราะเกมดีล สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ เก้าอี้นายกฯ หลัง 29 สิงหาคม ไม่มีใครก้าวขึ้นมาพร้อม แรงส่งแท้จริง เลยสักคน
เมื่อกวาดสายตาไปทั่วทั้งกระดานการเมืองหลัง 29 สิงหาคม สิ่งที่เด่นชัดคือ นายกรัฐมนตรีไร้แรงส่ง ไม่ว่าคนเดิมที่บอบช้ำ หรือคนใหม่ที่ถูกผลักขึ้นมาแทน ต่างก็ขึ้นไปบนเก้าอี้ที่ โยกคลอน และเมื่อผู้นำไร้แรงส่ง รัฐบาลทั้งคณะก็ย่อมพลอยไร้แรงส่งตามไปด้วย
นโยบายใหญ่ใดๆ ต้องเดินด้วยการ ต่อรองจนเสียรูป ความไว้ใจระหว่างพรรคร่วมก็ไม่มั่นคงเหมือนที่ประกาศกันบนโพเดียม ส่วนอีกฟาก ฝ่ายค้านก็มิได้เข้มแข็งพอจะเป็นน้ำหนักถ่วง พรรคประชาชน ที่เคยแบกความหวัง กลับสะดุดกับ ศรัทธาที่ร่วงหล่น และไม่อาจยืนในวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชาได้ ภาพที่ออกมาจึงไม่ใช่ ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง หากแต่เป็น ฝ่ายค้านที่เสียงดังแต่ไม่ก้อง
ผลลัพธ์คือ ประเทศติดกับดัก แรงส่งถดถอยทั้งระบบ รัฐบาลก็ไร้พลังผลัก ฝ่ายค้านก็ไร้น้ำหนักถ่วง เหลือเพียง เกมสภาที่หมุนวน โดยไม่สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้จริง
วันที่ 29 สิงหาคม 2568 จะถูกบันทึกว่าเป็น วันพิพากษาทางการเมือง ไม่ใช่เพียงชะตาของ แพทองธาร ชินวัตร แต่คือการเปิดหน้ากากให้เห็น ความจริงทั้งระบบ ความจริงที่ว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในยุคของ นายกรัฐมนตรีไร้แรงส่ง
ไม่ว่าคนเดิมที่อยู่ต่อ หรือคนใหม่ที่ถูกผลักขึ้นมา ภาพที่ปรากฏก็ไม่ต่างกัน เก้าอี้ที่ โยกคลอน, นโยบายที่ ติดขัด, และการเมืองที่ เดินด้วยแรงเฉื่อย ประชาชนไม่ได้เห็นนายกฯ ในฐานะ “ผู้นำแห่งความหวัง” แต่เห็นเพียง“เงาร่างในตำแหน่ง” ที่ไร้พลังตั้งแต่วันแรก
และที่ขมขื่นยิ่งกว่า คือแม้แต่ฝ่ายค้าน ก็ไม่อาจเป็นคำตอบ พรรคประชาชน เองยังสะดุดกับ ศรัทธาที่ร่วงหล่น และไม่สามารถแบกบทบาทในยามที่ความมั่นคงของชาติถูกท้าทาย สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นการเมืองที่ ไร้พลังทั้งรุกและรับ
เมื่อนายกรัฐมนตรีหมดแรงส่ง รัฐบาลก็หมดแรงส่ง และท้ายที่สุด ประเทศทั้งประเทศก็หมดแรงส่ง ประเทศที่วิ่งวนอยู่ใน วงเวียนเดิม เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนชื่อ แต่ไม่เคยเปลี่ยนเส้นทาง
คำถามที่ฟังดูโหดร้ายแต่เลี่ยงไม่ได้คือ… ประเทศไทยจะต้องติดอยู่ในแรงเฉื่อยเช่นนี้อีกกี่สิบปี ก่อนที่พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงแท้จริงจะอุบัติขึ้น?