“บิ๊กเล็ก” มอง เป็นสัญญาณดี หลังกัมพูชาตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดน

“บิ๊กเล็ก” ปัดตอบปมแต่งตั้ง-โยกย้าย มอง เป็นสัญญาณดี หลังกัมพูชาตอบรับเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดน ยัน คุมเชลยศึกตามอนุสัญญาเจนีวา ชี้ สถานการณ์ยังไม่จบ แต่คลี่คลาย แจงข่าว ศบ.ทก. รวบอำนาจ สมช.-ครม. โต้ไม่เป็นความจริง

วันที่ 22 ส.ค. 68 ที่ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พลเอกณัฐพล นาคพานิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาราชการแทน รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม RBC ที่ทางกัมพูชาตอบรับเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่า ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดี ตามที่ตนเคยบอกกับสื่อและประชาชนไปแล้วว่าฝ่ายกัมพูชานั้น ในระดับนโยบายตอนที่ประชุม GBC ก็แสดงท่าทีที่มีความจริงใจ ที่อยากพูดคุยแบบทวิภาคี แต่ตนก็จะมาประเมินในขั้นของ RBC ซึ่งของกัมพูชานั้นจะมีทีมงานทีมเดียว เพราะฉะนั้นเขาต้องรอคุยทีละพื้นที่โดยเมื่อวันที่ 15-16 ก็ไปที่จันทบุรี-ตราด และวันที่ 21-22 ก็ที่กองทัพภาคที่ 1 และในวันที่ 25-27 ก็จะไปกองทัพภาคที่ 2 เพราะฉะนั้นเขาจะต่างจากเราโดยของเราจะใช้คนละหน่วยในการพูดคุย เพราะฉะนั้นการที่มีการพัฒนาจากจันทบุรี-ตราด มาที่สระแก้วก็คงตีความได้ว่าเป็นการพัฒนาจากส่วนกลาง แสดงว่าเป็นแนวโน้มไปในทางที่ดี ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังความสำเร็จในเวลาอันสั้น ทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่าการพูดคุยหยุดยิงในหลายประเทศที่เกิดมาในโลกใช้เวลานานเป็นปี ทาง ศบ.ทก. และ GBC ก็คิดว่าต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามผ่านมา 15 วัน มาถึงจุดนี้ได้โดยส่วนตัวตนก็คิดว่าเร็ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมก็ตาม แต่ขอให้เขาเข้าสู่กระบวนการพูดคุยในห้วงเวลาที่ผ่านมา ที่รัฐบาลและ ศบ.ทก. ห่วงใยก็คือทางฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการพูดคุย แต่ปัจจุบันเขาเข้าสู่กระบวนการ JBC แล้วเมื่อวันวันที่ 14 มิถุนายน เข้าสู่กระบวนการ GBC เมื่อวันวันที่ 7 สิงหาคม และ RBC วันนี้ ผลการประชุมยังมีการเสนอให้ตั้ง TBC ขึ้นมาอีก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ตนมองบอกว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องทำไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าจะปักใจเชื่อ ซึ่งต้องประเมินผลเป็นระยะแต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้า

เมื่อถามต่อว่าการเจรจา RBC ในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 นั้นจะมีแมวแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่ พลเอกณัฐพล ระบุว่า ก็ต้องดูต่อไป เพราะสัญญาณจะมาจากส่วนกลาง ซึ่งหากกองทัพภาคที่ 2 ดีขึ้นกว่านี้อีกก็แสดงว่านโยบายส่วนกลางเขาขับเคลื่อนมาเป็นแบบนี้ เราก็พยายามทำบรรยากาศให้ดีขึ้นที่สุด แต่ในส่วนบรรยากาศที่ยังมีความหวาดระแวง มีความยั่วยุเราก็ทำความเข้าใจกัน อย่างวันนี้มีผลการประชุมกับกองทัพภาคที่ 1 ตนถือว่าเป็นผลการประชุมที่ดีมาก เพราะมีการตั้งชุดประสานงาน มีการติดต่อกัน เพราะฉะนั้นต่อไปในอนาคตหากมีการไม่เข้าใจกันหรือมีการปฏิบัติในลักษณะที่ยั่วยุ ผู้ประสานงานก็ต้องคุยกัน ลักษณะอย่างนี้ตนอยากให้เกิดขึ้น รวมทั้งในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ด้วย

เมื่อถามว่าการจัดระเบียบชายแดนจะต้องไปคุยกันในการประชุมที่สูงกว่านี้หรือไม่ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ก็คงต้องไปคุยในครั้งต่อไป และการประชุม RBC ไม่จำเป็นต้องประชุมครั้งเดียวจบ รวมถึง GBC ก็อาจจะมีต่อขึ้นไปอีก จึงอาจมีการนัดประชุมกันอีกเพื่อขยายผลต่อ ไม่ใช่ประชุมครั้งเดียวแล้วจบ เพราะฉะนั้นรายละเอียดอะไรที่ประชาชนต้องการก็จะสื่อสารผ่านสื่อมวลชนมาทาง ศบ.ทก. และทาง GBC ก็จะเก็บรวบรวมไว้แล้วแจ้งให้ RBC ดำเนินการต่อไป ซึ่งมีแม่ทัพภาคเป็นประธาน

ส่วนกรณีที่ทางกัมพูชาเคลื่อนไหวเรื่องเชลยศึกและให้ล็อบบี้ลิสต์ทำหนังสือถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนนี้ขั้นตอนของเชลยศึกเราจะเป็นอย่างไรต่อไป พลเอกณัฐพล
เผยว่า ตอนนี้เราปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา เพราะเราสามารถควบคุมได้จนกว่าการหยุดยิงจะสมบูรณ์ และการสิ้นสุดสภาพความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพราะฉะนั้นโดยกฎหมายแล้วเราสามารถควบคุมตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามเราดูแลเป็นอย่างดี จากที่คณะ ICRC ไปตรวจเยี่ยมก็พอใจว่าประเทศไทยดูแลเชลยศึกของกัมพูชาเป็นอย่างดี

เมื่อถามว่าสถานการณ์ขณะนี้จบลงหรือยัง เพราะชาวบ้านก็กังวลและรอยืนยันจากกองทัพ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า หากถามตนมองว่ายังไม่จบ แต่ใช้คำว่าคลี่คลาย ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะคลี่ตลายไปเรื่อยๆ โดยปัจจุบันทาง ศบ.ทก. และGBC ที่ตนสวมหมวดอยู่ 2 ใบนั้น กำลังกำหนดฉากทัศน์ต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร เพราะตอนแรกที่เรายังไม่กำหนดเพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเหตุการณ์บานปลายถึงขั้นนี้แล้วการที่จะพูดคุยโดยไม่มีกรอบก็อาจจะไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นเราจึงกำหนดว่าแต่ละฉากทัศน์ควรเป็นอย่างไร แล้วให้ทุกหน่วยอยู่ในกรอบของฉากทัศน์ที่กำหนดหลังจาก ศบ.ทก. กำหนดขึ้นมาแล้วก็จะเสนอเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติและเมื่อเห็นชอบก็จะเสนอเข้า ครม. ให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ จึงขอให้ประชาชนได้สบายใจว่าการทำงานของ ศบ.ทก. และ GBC ไม่ได้ทำงานตามลำพัง แต่เราทำงานตามขั้นตอนและไม่ได้รวบอำนาจจากคณะรัฐมนตรีหรือสภาความมั่นคงแห่งชาติมาใช้เอง เพราะบางทีตนไปเห็นจากสื่อบางสำนักก็มีการวิจารณ์ว่า ศบ.ทก. รวบอำนาจของสภาความมั่นคงแห่งชาติ และของคณะรัฐมนตรีมา ซึ่งไม่ใช่แต่เราทำตามขั้นตอนตลอด เมื่อมีการประชุมไปได้ระยะหนึ่งเราก็มีการรายงานให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติรับทราบ เว้นแต่เรื่องใดที่เกินอำนาจก็จะเสนอให้สภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาก่อน เช่น ตอนที่ตนจะไปประชุม GBC ในประเด็นต่างๆ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านออกมาเคลื่อนไหวเรื่อง MOU 43-44 เรามีจุดยืนอย่างไรบ้าง พลเอกณัฐพล ระบุว่า ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล เพราะจริงๆ แล้วรายละเอียดมากมาย ประโยชน์ก็มีเยอะ ข้อเสียก็มีบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่จะต้องพูดคุยกันและก็แล้วแต่สภาฯ ด้วยหากเห็นว่าเรื่องนี้จะต้องนำเข้าสภาฯ ซึ่งเราทำงานเป็นระบบ

เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงกระแสการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นั้น พลเอกณัฐพล ไม่ได้ตอบคำถาม พร้อมระบุว่า ไม่ได้ยิน