หุ้นไทย ภาคบ่าย พุ่งกว่า 1 % ตอบรับ SCB นำร่องปันผล เกาหลีใต้ลดกำลังผลิตปิโตรเคมี

อัพเดต 21 สิงหาคม 2568 เวลา 0.20 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

หุ้นไทย ภาคบ่ายพุ่ง 15 จุด เก็งแบงก์ปันผลระหว่างกาล SCB นำร่อง รับข่าวดี 10 บริษัทปิโตรเคมีของเกาหลีใต้ลดกำลังผลิต

วันที่ 20 ส.ค.2568 บรรยากาศตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายกลับมาคึกคักปรับตัวขึ้น 15 จุด (+1.22 %) ดัชนีอยู่ที่ 1,250.84 จุด

โดยมีแรงซื้อหุ้นใหญ่(บิ๊กแคป) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มปิโตรเคมี อาทิ KBANK, PTTGC, SCC, CPALL, TRUE และ SCB เป็นต้น

นักวิเคราะห์มีมุมมองว่าเป็นภาพการปรับขึ้น (รีบาวด์) ระยะสั้นตอบรับกลุ่มปิโตรเคมีที่มีข่าวดีลดกำลังการผลิต และเก็งกำไรกลุ่มแบงก์ทยอยประกาศจ่ายปันผลที่นำร่องโดย SCB จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล

SCB ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 2.00 บาท ขึ้น XD วันที่ 2 ก.ย. และจ่ายปันผลวันที่ 19 ก.ย. นี้

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยภาคบ่ายปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด เป็นการรีบาวด์ขึ้นมาในระยะสั้นหลังจากที่ดัชนีมีการพักตัวลงมาต่อเนื่อง ประกอบกับมีแรงซื้อเข้ามาจากหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี นำโดย PTTGC และ SCC ที่เป็นหุ้นใหญ่ 2 ตัวที่หนุนดัชนีในช่วงบ่ายนี้

ประกอบกับแรงซื้อเก็งปันผลหุ้นกลุ่มแบงก์ หลังจากที่ SCB ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นแบงก์แรก

โดยให้แนวต้าน 1,260 จุด แนวรับ 1,235 จุด

10 บริษัทปิโตรเคมีเกาหลีใต้ตกลงลดกำลัง

เจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ (20 ส.ค.) ว่า บริษัทปิโตรเคมี 10 แห่งในประเทศได้บรรลุข้อตกลงในการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการลดกำลังการผลิตแนฟทา-แครกกิ้ง (naphtha-cracking) ลงอย่างมีนัยสำคัญ

กระทรวงการค้าระบุว่า บริษัทเหล่านี้จะลดกำลังการผลิตแนฟทา-แครกกิ้งลงระหว่าง 2.7-3.7 ล้านตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับการลดกำลังการผลิตลงมากถึง 25% จากกำลังการผลิตรวมทั้งประเทศที่มีอยู่ 14.7 ล้านตัน โดยทั้งหมดต้องยื่นรายละเอียดแผนการลดกำลังการผลิตภายในสิ้นปีนี้
คู ยุน-ชอล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ผู้บริหารจากบริษัทต่าง ๆ จะลงนามในข้อตกลงปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมร่วมกันในการประชุมที่มีรัฐมนตรีการค้าเข้าร่วมด้วย พร้อมย้ำว่าหัวใจสำคัญในการก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้คือการลดกำลังการผลิตและการฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันขั้นพื้นฐาน

รัฐบาลเกาหลีใต้ชี้ว่าภาคปิโตรเคมีอยู่ในภาวะวิกฤต จึงจำเป็นต้องเร่งกระบวนการปรับโครงสร้างเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและแก้ปัญหาอัตรากำไรที่ตกต่ำ