สัตวแพทย์ไทย 'เสี่ยงเครียดสูง' พบ 64% ทำงานเกิน 50 ชม.ต่อสัปดาห์
เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ เปิดเผยผลการศึกษาเชิงลึกเรื่อง "Going Beyond: ร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการสัตวแพทย์ไทย" ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สัตวแพทย์ในประเทศไทยกำลังเผชิญ การสำรวจจัดทำร่วมกับ TAGR บริษัทวิจัยระดับโลก เก็บข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 335 คน
ซึ่งเป็นสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่คลินิกจาก 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจคุณค่า ความกดดัน และความต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
ผลการศึกษาเผยว่าวิชาชีพสัตวแพทย์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเพียง "หมอหมา-หมอแมว" กำลังเผชิญกับความท้าทายซับซ้อน ได้แก่ ความเครียดจากงาน ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และการขาดการยอมรับจากสาธารณชน
ปัจจัยที่กดดันสัตวแพทย์ไทย
1.ความเข้าใจจากสาธารณชน: มีสัตวแพทย์เพียง 16% ที่รู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับอย่างเพียงพอ
2.สมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: 58% ของสัตวแพทย์ไทยทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นอันดับสองในบรรดาประเทศที่สำรวจ
3.ความท้าทายด้านการเงิน: ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและราคาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนลูกค้าที่ลดลง ทำให้เกิดแรงกดดันทางการเงินต่อเนื่อง
4.แรงกดดันทางอารมณ์: สัตวแพทย์ต้องเผชิญความเครียดทางอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าไม่เข้าใจค่าใช้จ่ายในการรักษา
- 64% ต้องการให้ลูกค้าเข้าใจวิชาชีพมากขึ้น
- 58% ต้องการการปฏิบัติที่ดีขึ้นจากลูกค้า
- 42% ต้องการชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
รองศาสตราจารย์ สพ.ญ.ดร.จารุวรรณ คำพาเลขธิการสัตวแพทยสภา กล่าวว่า อาชีพสัตวแพทย์กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนทั้งในแง่สภาพการทำงานที่หนัก ความเครียดสะสม และการขาดแคลนบุคลากร การเสวนาครั้งสำคัญได้รวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญหลายด้านเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์อย่างยั่งยืน
ปัญหาชั่วโมงการทำงานหนักเป็นเรื่องที่รู้กันดี การประกาศรับสมัครงานที่ระบุเวลาทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มสะท้อนภาระงานสูง สัตวแพทยสภาจึงกำหนดให้สัตวแพทย์ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากเกินกว่านั้นต้องตกลงร่วมกันระหว่างนายจ้างและสัตวแพทย์ แต่การบังคับใช้จริงยังท้าทาย เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากร
ความเครียดหลัก 3 ปัจจัยที่สัตวแพทย์ต้องเผชิญ
- ปริมาณและความซับซ้อนของเคส: โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยรับเคสส่งต่อที่ซับซ้อนสูง ทำให้สัตวแพทย์ทำงานภายใต้แรงกดดัน
- นโยบายผู้บริหารที่ไม่สอดคล้อง: เช่น การมีบริการตอบคำถาม 24 ชั่วโมงผ่านไลน์ ส่งผลให้สัตวแพทย์ต้องอยู่เวรต่อเนื่อง
- ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง: การสื่อสารไม่ชัดเจนอาจเพิ่มความเครียด
- ปัจจัยเสริม ได้แก่ ความเป็น Perfectionist และ การเปรียบเทียบตัวเองกับรุ่นพี่หรือเพื่อนร่วมงาน ทำให้สัตวแพทย์รุ่นใหม่บางคนรู้สึกไม่มั่นใจ
ความท้าทายเฉพาะของสัตวแพทย์ปศุสัตว์
สพ.ญ.ดร.เมตตา เมฆานนท์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย กล่าวว่า สัตวแพทย์สายปศุสัตว์เผชิญความเครียดจากเศรษฐกิจและกฎหมายแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพและประสิทธิภาพผลผลิต เช่น เนื้อ นม ไข่ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ฟาร์ม กฎหมายและข้อบังคับเข้มงวด ต้องปฏิบัติตาม GAP และ E-movement หากผิดพลาดแม้เล็กน้อยอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาต
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมการทำงาน ต้องปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยทางชีวภาพ เช่น การอาบน้ำและเปลี่ยนชุดหลายครั้งต่อวัน ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
สวัสดิภาพและทักษะสำคัญ กุญแจความยั่งยืนของสัตวแพทย์
สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ประธานกรรมการบริหาร โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ กล่าวว่า การสร้างสมดุลและความยั่งยืนของสัตวแพทย์ไทยต้องอาศัยการสื่อสารและการพัฒนา โดยองค์กรและผู้ประกอบการควรสื่อสารอย่างโปร่งใสทั้งกับพนักงานและลูกค้า เพื่อลดความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
นอกจากนี้ยังควรมีความยืดหยุ่นในการจัดชั่วโมงการทำงาน จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรเฉพาะบุคคล (IDP) เพื่อรับฟังความต้องการและเป้าหมายของสัตวแพทย์แต่ละคน พร้อมจัดระบบพี่เลี้ยง (Mentorship)
สำหรับสัตวแพทย์รุ่นใหม่และส่งเสริมให้สัตวแพทย์แสดงศักยภาพ เช่น การเป็นวิทยากรในการประชุมวิชาการ ขณะที่ทักษะจำเป็นของสัตวแพทย์ยุคใหม่ ได้แก่ Soft Skills การสื่อสารที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และจรรยาบรรณวิชาชีพ ทักษะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้องจากอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้ในการตัดสินใจ
และทักษะด้านธุรกิจสำหรับสัตวแพทย์ปศุสัตว์ ซึ่งรวมถึงความรู้ด้านการเงิน การตลาด และธุรกิจ เพื่อทำงานร่วมกับเจ้าของฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการพัฒนาวงการสัตวแพทย์ไทยอย่างยั่งยืนจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ดูแลสวัสดิภาพบุคลากร และส่งเสริมทักษะที่จำเป็น เพื่อให้สัตวแพทย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถดูแลสุขภาพสัตว์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เภสัชกร อภิศักดิ์ คุณเวช Head of Animal Health บริษัท เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ แอนิมอล เฮลท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สัตวแพทย์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่กำลังเผชิญความเครียดและการขาดความเข้าใจในวิชาชีพในวงกว้าง การเปิดตัวผลการศึกษาเชิงลึกในวันนี้มุ่งยกย่องความทุ่มเทของสัตวแพทย์ สร้างการรับรู้ต่อความท้าทายด้านต่าง ๆ และส่งเสริมให้สัตวแพทย์ได้รับการสนับสนุนและมีความยั่งยืนทางวิชาชีพยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา สมาคม และภาคประชาชน เบอริงเกอร์ อินเกลไฮม์ จึงขอเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเพื่อสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับวิชาชีพสัตวแพทย์ในประเทศไทย”
จากผลการศึกษาเชิงลึกฉบับนี้ ได้สรุปข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและการยอมรับวิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมสร้างเครือข่ายสนับสนุนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนี้
1.การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้ในสาธารณะ
จัดแคมเปญเฉพาะกลุ่มผ่านสื่อสาธารณะและกิจกรรมของสถาบันการศึกษา เพื่อเพิ่มความเข้าใจของสาธารณชนต่อบทบาทของสัตวแพทย์
2.การรักษาและพัฒนาบุคลากรสัตวแพทย์
สนับสนุนค่าตอบแทน ผลประโยชน์ และเส้นทางการพัฒนาวิชาชีพที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร
3.การสนับสนุนด้านสุขภาวะ
ให้สัตวแพทย์เข้าถึงบริการให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุนเพื่อนร่วมอาชีพ และการฝึกอบรมสำหรับคลินิกสัตวแพทย์ด้านสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด
4.ด้านนโยบายและการส่งเสริมกฎหมาย
ร่วมมือกับรัฐบาลและองค์กรสัตวแพทย์เพื่อผลักดันโครงการ เช่น ประกันสัตว์เลี้ยงและการขยายบริการดูแลป้องกัน
5.การยกย่องด้านวิชาชีพ
จัดตั้งรางวัลและโครงการยกย่องเพื่อเชิดชูผลงานของสัตวแพทย์ และสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
6. การเสริมสร้างเครือข่ายวิชาชีพ
ส่งเสริมความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างสมาคมสัตวแพทย์ รัฐบาล และบริษัทเอกชน เพื่อเพิ่มเสียงสะท้อนของวิชาชีพให้กว้างไกลยิ่งขึ้น