คลัง ติงแผนเศรษฐกิจวัฒนธรรม ชงมาตรการภาษีแต่รายละเอียดไม่ชัด
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมของประเทศไทยสู่ระดับสากล (พ.ศ. 2567 - 2570) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนปฏิบัติการฯ ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เสนอ
ล่าสุด สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เผยแพร่เอกสารของ กระทรวงการคลัง ซึ่งเสนอเข้ามาเพื่อประกอบความคิดเห็น ลงนามโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีเนื้อหาว่า
กระทรวงการคลัง ได้พิจารณาร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ประกอบด้วย 2 ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 เตรียมความพร้อมให้ “คน” มีบทบาทหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจวัฒนธรรม และประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 4 ยกระดับแบรนด์ประเทศไทยให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับอย่างยั่งยืน โดยมีความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องสรุปได้ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 2 เตรียมความพร้อมให้ “คน” มีบทบาทหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจวัฒนธรรม
ในกลยุทธ์ที่ 2.3 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเข้าสู่ตลาดโลกของผู้ประกอบการเศรษฐกิจวัฒนธรรม กลยุทธ์ย่อย 2.3.1 ผลักดันมาตรการทางการเงินและภาษี และมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ เพื่อผลักดันผู้ประกอบการเศรษฐกิจวัฒนธรรมเข้าสู่ตลาดโลกเพิ่มขึ้น
โดยมีแนวทางการพัฒนาเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการทางการเงินและภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการ และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ทั้งนี้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องในหลักการตามประเด็นยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการดำเนินมาตรการด้านการเงินและภาษี เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยสรุปได้ ดังนี้
มาตรการด้านการเงิน
ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการดำเนินมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงผู้ประกอบการเศรษฐกิจวัฒนธรรมด้วย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เสริมสภาพคล่อง และเพิ่มโอกาสให้ประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบการ SMEs ที่ขาดทุนทรัพย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินได้อย่างเหมาะสมและทั่วถึง
โดยมีเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติของธนาคาร ซึ่งประกอบด้วย 7 โครงการ ได้แก่
1. โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย (ระยะที่ 2) โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร วงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท
2. โครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท
3. โครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท
4. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up โดยธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวม 100,000 ล้านบาท
5. โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) วงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท
6. โครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME โดย ธพว. วงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาท
7. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme: PGS ระยะที่ 11 โดยบรรษัทประกันสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงินค้ำประกันรวม 50,000 ล้านบาท
มาตรการด้านภาษี
สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีทุนที่ชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาท ตามนิยามของกรมสรรพากร จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจากผู้ประกอบการนิติบุคคลทั่วไป โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ไม่เกิน 300,000 บาท
รวมทั้งได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิในช่วง 300,000 - 3,000,000 บาท โดยเสียภาษีที่อัตรา 15% และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราปกติที่ 20% สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกินกว่า 3,000,000 บาทขึ้นไป
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ SMEs สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการทางภาษีที่กรมสรรพากรมีการดำเนินการแล้วในปัจจุบันได้ เช่น การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราเร่ง การขยายเวลายกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ให้แก่วิสาหกิจชุมชน สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 ยกระดับแบรนด์ประเทศไทยให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับอย่างยั่งยืน
ในกลยุทธ์ที่ 4.1 ผลักดันให้วัฒนธรรมไทย “เข้าถึงง่าย – เข้าใจได้ - ได้ใจด้วย” สำหรับผู้คนทั่วโลก กลยุทธ์ย่อยที่ 4.1.2 ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติที่มีทักษะสูงในสาขาเศรษฐกิจวัฒนธรรม เข้ามาพำนักและทำงานในประเทศไทย
โดยมีแนวทางการพัฒนาเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการทางภาษี วีซ่า และที่อยู่อาศัย และการสนับสนุนให้ชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมไทยในเชิงลึก
กระทรวงการคลัง พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องในหลักการตามประเด็นยุทธศาสตร์ดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้จากผู้มีประสบการณ์และทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจวัฒนธรรมได้ในภาพรวม โดยกรมสรรพากรได้ออกมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
ด้วยการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 17% ของเงินได้ สำหรับเงินได้ประเมินที่คนต่างด้าวกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษที่ได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ ประเภทผู้พำนักระยะยาวตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองได้รับ
ทั้งนี้เนื่องจากการจ้างแรงงานของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายตามกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
อย่างไรก็ดี หากกระทรวงวัฒนธรรม มีแผนงานที่ต้องดำเนินการด้านมาตรการภาษีเพิ่มเติมภายใต้ร่างแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว จะต้องมีรายละเอียดข้อเสนอของมาตรการที่ชัดเจนและมีการพิจารณาผลดีผลเสียและกลุ่มเป้าหมายของผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาษีนั้น ๆ อย่างรอบด้าน
รวมทั้งพิจารณาถึงความเป็นธรรม ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งการพัฒนาและสนับสนุนเสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วย
ร่างแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมฯ
สำหรับร่างแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวัฒนธรรมของประเทศไทยสู่ระดับสากล พ.ศ. 2567 - 2570 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 : เสริมสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของแบรนด์ประเทศไทย
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 : เตรียมความพร้อมให้ “คน” มีบทบาทหลักในการพลิกโฉมเศรษฐกิจวัฒนธรรม
- ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดโลกต่อคุณภาพและคุณค่าของสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมของประเทศไทย
- ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ยกระดับแบรนด์ประเทศไทยให้โดดเด่นเป็นที่ยอมรับอย่างยั่งยืน
โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ กำหนดเป้าหมายว่า ทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทยได้รับการรักษา พัฒนา และต่อยอดอย่างยั่งยืน และเศรษฐกิจวัฒนธรรมของไทยเติบโตเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลกได้รับการยกระดับด้วยเศรษฐกิจวัฒนธรรม