วิกฤต "ช้างป่า" จากสัตว์อนุรักษ์ สู่ภัยคุกคามมนุษย์ อช.เร่งคุมประชากร ลดปัญหาช้างทำร้ายคน
ร่องรอยความเสียหายของสวนยาง และร่างไร้วิญญาณของชายวัย 66 ปี บริเวณบ้านคลองตะเคียน หมู่ 13 ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ห่างจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไนประมาณ 4 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ช้างป่าออกมาหากินเป็นประจำ คือ ความสูญเสียล่าสุดจากปัญหา คนกับ ช้าง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ตามแนวทางการจัดการปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คือการเร่งให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุช้างป่าทำร้าย พร้อมส่งชุดผลักดันช้างเข้าตรวจสอบพื้นที่ทันที และได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงให้ระมัดระวัง
เหตุช้างป่าทำร้ายคนในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เมื่อสภาพพื้นที่ของป่า พฤติกรรมช้างป่า รวมทั้งจำนวนประชากรช้างป่าทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ช้างป่า กลายเป็นภัยคุกคามของชุมชนชิดขอบป่า ตามสถิติของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุว่าในปีงบประมาณ 2567 เพียงปีงบประมาณเดียว ช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์มากถึง 11,468 ครั้ง สร้างความเสียหายต่อพืชผล 1,610 ครั้ง ความเสียหายต่อทรัพย์สิน 554 ครั้ง และคร่าชีวิตประชาชนถึง 39 ราย
โดยจุดที่พบปัญหามากที่สุด กลุ่มป่าตะวันออก หรือ ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่พบช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ในปีงบประมาณเดียวมากถึง 4,716 ครั้ง คิดเป็น 41% ของปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ปัจจัยที่ทำให้ปัญหาคนกับช้างในผืนป่าตะวันออกรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น เป็นเพราะพื้นที่ป่าอนุรักษ์เหลือน้อยลง แต่จำนวนช้างป่าในพื้นที่กลับมีประชากรเพิ่มขึ้น
จึงทำให้เกิดการทับซ้อนกับพื้นที่เกษตรกรรม ส่งผลให้ช้างป่าต้องออกจากป่าเพื่อหาอาหารและแหล่งน้ำ และนั่นทำให้ช้างป่าเรียนรู้ที่จะกินพืชผลทางการเกษตร และ เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งระหว่างคน กับ ช้างป่า
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่าป่าภาคตะวันออก 799 ตัว ซึ่งพบกว่า 80% ออกมาอยู่นอกป่า และบางส่วนหากินไกลถึง 40 กิโลเมตร
ที่น่ากังวล คือ เมื่อช้างป่าออกมาอยู่นอกป่า แล้วพบว่าไม่ยอมกลับเข้าป่า โดยจะอาศัยหย่อมป่าขนาดเล็กเป็นที่นอนหลบแดดในช่วงกลางวัน และช่วงบ่ายจะออกกมากินอาหาร ซึ่งเป็นพืชผลผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน
โดยแนวทางการแก้ปัญหาของกรมอุทยานฯ คือ การคุมประชากรช้างป่า ด้วยการฉีดวัคซีนคุมกำเนิด เพื่อลดความเร็วในการเพิ่มประชากรช้างป่าที่พบว่ามีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการเกิดของช้างป่าราวปีละ 8.2%
การเพิ่มจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วของช้างป่าจาก จำนวน 1,797 ตัว ในปี 2532 เป็น 4,013-4,422 ตัว ในปี 2567
แน่นอนว่าจำนวนประชากรช้างป่าที่เพิ่มขึ้นคือตัวชี้วัดความสำเร็จของการอนุรักษ์ช้างป่าของไทย แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน เมื่อปริมาณไม่สอดคล้องกับพื้นที่ถิ่นที่อยู่ และความสมบูรณ์ของผืนป่า
กรมอุทยานฯ ยืนยันว่าการใช้วัคซีนคุมกำเนิดช้างป่าเป็นไปตามหลักวิชาการ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อทำหมันช้างป่า แต่เป็นการคุมอัตราการเกิดช้างในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ราว 7 ปี (ตามฤทธิ์ของยา)ในพื้นที่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งพบช้างป่าจำนวนมากและสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในพื้นที่ ซึ่งหากไม่แก้ปัญหาอนาคตจะไม่สามารถควบคุมได้และชาวบ้านจะได้รับผลกระทบหนักมากขึ้น
สำหรับแนวทางควบคุมประชากรช้างป่า โดยฉีดวัคซีนคุมกำเนิด เป็นมาตรการหนึ่งที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ และลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง ซึ่งเคยมีข้อถกเถียงจากหลายภาคส่วน เพราะกังวลว่าจะส่งผลกกระทบข้างเคียงต่อช้างหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง