“ค่าเงินบาท” แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย! อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังในไตรมาสนี้?
ในช่วงนี้ ตลาดการเงินไทยกำลังร้อนแรง ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างโดดเด่น จนกลายเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชียช่วงไตรมาสนี้ อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังความแข็งแกร่งนี้ และนักลงทุนควรจับตาอะไรบ้างในสัปดาห์ข้างหน้า?
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นโดดเด่น
สัปดาห์ที่ผ่านมา (4-8 ส.ค. 2568) ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน โดยปิดตลาดที่ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ จาก 32.86 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์ก่อนหน้า และเคยแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ที่ 32.25 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยหลักที่หนุนให้เงินบาทแข็งค่ามาจากหลายสาเหตุ
1.สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐ อ่อนแอ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐ (การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน) ที่ออกมาต่ำกว่าคาดมาก รวมถึงข้อมูล ISM ภาคบริการที่มีสัญญาณอ่อนแรง ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ
2.ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประเด็นความขัดแย้งระหว่างทรัมป์กับ Fed ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินดอลลาร์
3.ฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้า นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 4-8 ส.ค. 2568 มีการซื้อสุทธิหุ้น 6,454 ล้านบาท และพันธบัตร 2,883 ล้านบาท ซึ่งช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่า
4.ราคาทองคำและน้ำมัน ราคาทองคำในตลาดโลกที่สูงขึ้นและราคาน้ำมันดิบที่ลดลง (หลังกลุ่ม OPEC+ ประกาศเพิ่มการขุดเจาะ) ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า
จับตาการประชุม กนง. 13 ส.ค. นี้
ตลาดการเงินกำลังจับตาผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 13 ส.ค. 2568 อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การตัดสินใจครั้งนี้ จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
แนวโน้มค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (11-15 ส.ค. 2568)
สำหรับค่าเงินบาท
ธนาคารกสิกรไทย คาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไว้ที่ 32.10-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) มองว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องในระยะสั้น โดยให้กรอบที่ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า เนื่องจากการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่เอเชีย แต่การแข็งค่าอาจไม่มากนัก เพราะเงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐ เริ่มชะลอ และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษียังคงอยู่
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม
- ผลการประชุม กนง. (13 ส.ค.)
- ทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ
- ราคาทองคำในตลาดโลก
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ (เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค, ดัชนีราคาผู้ผลิต, ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ค. และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน)
- ข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเดือน ก.ค. ของจีน
- ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/2568 ของอังกฤษ ยูโรโซน และญี่ปุ่น
สำหรับตลาดหุ้นไทย
ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา แตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 6 เดือนที่ 1,280.78 จุด ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย โดยปิดที่ 1,259.07 จุด เพิ่มขึ้น 3.34% จากสัปดาห์ก่อนหน้า แรงหนุนหลักมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติและผลประกอบการที่ดีของหุ้นกลุ่มใหญ่บางกลุ่ม
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองแนวรับดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าอยู่ที่ 1,230 และ 1,215 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด ปัจจัยที่ต้องจับตาคือ ผลการประชุม กนง., ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของบริษัทจดทะเบียนไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ค่าเงินบาทของไทยกำลังอยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งที่สุดในเอเชีย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ หลังเศรษฐกิจสหรัฐ มีสัญญาณชะลอตัว และเงินทุนต่างชาติที่ยังคงไหลเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การประชุม กนง. ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่กำลังจะประกาศ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางของตลาดการเงินไทยในระยะต่อไป..
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย, กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM)