โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

บทบาท “ดอลลาร์สหรัฐ” ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก เริ่มถูกท้าทาย เสี่ยงเข้าสู่ยุคพหุสกุลเงิน

การเงินธนาคาร

อัพเดต 12 สิงหาคม 2568 เวลา 0.23 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

บทบาทราชาเงินสำรองโลกของ "ดอลลาร์สหรัฐ" เริ่มถูกท้าทาย หลังนโยบายภาษีทรัมป์และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ เสี่ยงเข้าสู่ยุคพหุสกุลเงินที่อาจกระทบเศรษฐกิจและอิทธิพลสหรัฐ

วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การขับเคลื่อนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อออกแบบระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่เอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐ กำลังสั่นคลอนหนึ่งในเสาหลักของอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือ บทบาทของ "ดอลลาร์" ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกอย่างไร้ข้อกังขา

สถานะนี้สะท้อนจากข้อเท็จจริงที่ว่า ดอลลาร์ถูกใช้ในราว 9 ใน 10 ของธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และราวครึ่งหนึ่งของการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก รวมถึงมีสัดส่วนเกือบ 60% ของเงินสำรองที่รัฐบาลทั่วโลกถืออยู่ ความครอบงำเช่นนี้ช่วยให้สหรัฐสามารถดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก และให้ผู้บริโภคสหรัฐใช้จ่ายเกินรายได้ที่ผลิตได้ โดยมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสินทรัพย์ที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งประทับสโลแกน “In God We Trust”

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในดอลลาร์กำลังสั่นคลอน ในปี 2565 การที่รัฐบาลไบเดนจำกัดการเข้าถึงดอลลาร์ของรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน ได้กระตุ้นให้เกิดการกระจายความเสี่ยงรอบแรก และตั้งคำถามว่า หากสหรัฐสามารถตัดขาดประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 11 ของโลกที่มีบทบาทสำคัญในตลาดน้ำมันโลกได้แล้ว ใครจะปลอดภัยบ้าง? ปัญหาเงินเฟ้อครั้งใหญ่ (Great Inflation) และแนวโน้มการคลังที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่นั้น ก็เพิ่มความสงสัยต่อความพิเศษของเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุดการประกาศใช้และเพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ในเดือนเมษายนอย่างไร้ระบบ ได้กระตุ้นให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงกว่า 10% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นการปรับลดครึ่งปีแรกที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ปี 1973

กระแสขายสินทรัพย์สหรัฐยากที่จะหยุดยั้ง ธนาคารและโบรกเกอร์พบว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์การเงินที่หลีกเลี่ยงการใช้ดอลลาร์ และครอบครัวมั่งคั่งที่สุดในเอเชียบางส่วนลดการถือครองสินทรัพย์สหรัฐ โดยให้เหตุผลว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ทำให้ประเทศนี้คาดเดาได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มประเทศคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่าง BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ยังคงผลักดันการสร้างระบบชำระเงินข้ามพรมแดนแบบใหม่ และแม้แต่พันธมิตรเก่าอย่างยุโรปก็เห็นโอกาสในการกัดเซาะบทบาทครองโลกของดอลลาร์

อย่างไรก็ดีไม่ใช่ทุกคนที่มองในแง่ร้าย เจมี ไดมอน แห่ง JPMorgan Chase & Co. กล่าวในเดือนพฤษภาคมว่า สหรัฐยังคงเป็นประเทศที่มั่งคั่งและมีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก และเขาไม่กังวลกับความผันผวนระยะสั้นของดอลลาร์ ขณะที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ พยายามโน้มน้าวนักลงทุนว่านโยบายดอลลาร์แข็งค่ายังคงอยู่ และประธานาธิบดีของเขาขู่จะเก็บภาษี 100% ต่อผู้ที่กล้าท้าทายสถานะนี้ ทว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของดอลลาร์ในตอนนี้อาจมาจากการที่ยังไม่มีคู่แข่งรายเดียวที่พร้อมจะแย่งชิงบัลลังก์

แม้จะมีการพูดถึง “ช่วงเวลายูโรโลก” ที่เงินยูโรมีบทบาทมากขึ้น แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าสหภาพยุโรปมักเคลื่อนไหวไม่เป็นเอกภาพ และสถาบันของตนก็ยังไม่สามารถสร้างตลาดการเงินที่ลึกพอจะแข่งขันกับสหรัฐ จีนเอง แม้ผู้ว่าการธนาคารกลางจะโปรโมทเงินหยวนเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดการพึ่งพาดอลลาร์ แต่ก็ยากที่จะได้รับการยอมรับในวงกว้างเมื่อยังมีการควบคุมเงินทุนเข้มงวด

ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างแห่ซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยสูงสุด แต่ทองคำมีข้อเสีย คือเก็บรักษายาก ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทน และไม่สามารถใช้ชำระทางการค้าหรือการเงินได้ง่ายเหมือนดอลลาร์ ข้อเสนออื่น ๆ ตั้งแต่บิตคอยน์ไปจนถึงคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ยังไม่เป็นที่ยอมรับกว้างขวาง (ยกเว้นเอลซัลวาดอร์ที่รับรองบิตคอยน์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในปี 2564) ส่วนสเตเบิลคอยน์ซึ่งอ้างว่าจะแทนเงินสดจริง อาจกลับยิ่งตอกย้ำการครองโลกของดอลลาร์ เพราะมูลค่ามักผูกกับดอลลาร์อยู่ดี

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้มากที่สุดคือโลกที่ใช้หลายสกุลเงินร่วมกัน โดยดอลลาร์ยังคงเป็นผู้นำ แต่สกุลเงินอื่นจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น แม้จะไม่ปฏิวัติระเบียบการเงินโลกเท่ากับการล่มสลายของดอลลาร์ตามที่บางฝ่ายคาดการณ์ แต่การแข่งขันด้านค่าเงินก็จะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่ออำนาจทั้งด้านแข็ง (hard power) และด้านอ่อน (soft power) ของสหรัฐ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอาจชัดเจน เช่น หากดอลลาร์ครองโลกน้อยลง อัตราดอกเบี้ยในประเทศอาจสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติลดการซื้อพันธบัตรดอลลาร์ แบร์รี ไอเคนกรีน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ประเมินว่า หากสหรัฐลดบทบาทในเวทีโลก สัดส่วนเงินสำรองเป็นดอลลาร์ในประเทศที่เคยพึ่งพาความมั่นคงจากสหรัฐอาจลดลงราว 30 จุดเปอร์เซ็นต์ และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวอาจเพิ่มขึ้นถึง 0.8%

ธนาคารสหรัฐจะต้องจ่ายต้นทุนสูงขึ้นเพื่อระดมทุน และคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านสูงขึ้น ซึ่งจะกดการใช้จ่ายของผู้บริโภคและชะลอเศรษฐกิจ รัฐบาลกลางเองก็จะเจอกับต้นทุนกู้ยืมสูงขึ้น ทั้งในการกู้ใหม่และในการหมุนหนี้เดิม

ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงยังลดทอนอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐ เพราะทำให้ค่าใช้จ่ายในการคงกำลังทหารต่างประเทศสูงขึ้น ลดประสิทธิภาพของมาตรการคว่ำบาตร และทำให้การสอดส่องธุรกรรมการเงินเพื่อป้องกันการก่อการร้ายหรือฟอกเงินยากขึ้น

จอช ลิปสกี แห่ง Atlantic Council กล่าวว่า“เรายังไม่ตระหนักว่าตัวเองได้เปรียบมากแค่ไหน …การครองสถานะสกุลเงินสำรองหมายถึงเครดิตที่ถูกลงสำหรับชาวอเมริกันและรัฐบาลกลาง หมายถึงความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐ และนี่คือสิ่งที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง”

แม้รัฐมนตรีคลังสหรัฐจะย้ำมานานว่าการปกป้องสถานะนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและสถาบันอิสระ แต่รัฐบาลทรัมป์กลับส่งสัญญาณที่ปะปน ทั้งการพยายามรวมอำนาจเข้าสู่ฝ่ายบริหาร การท้าทายศาลอย่างต่อเนื่อง และการเพิกเฉยต่อหนี้สาธารณะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นรากฐานของการที่โลกเลือกดอลลาร์

ในอดีต ดอลลาร์เคยเผชิญวิกฤติศรัทธาแต่รอดมาได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ยุติการผูกดอลลาร์กับทองคำในปี 1971 หรือวิกฤติการเงินโลกที่สหรัฐ เป็นต้นเหตุในช่วงทศวรรษ 2000 แต่หากโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่มีหลายสกุลเงินแข่งกันครองโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ความผันผวนและความไม่แน่นอนก็จะสูงกว่าที่เคยมีมา

สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ยืนยันเมื่อ 3 กรกฎาคมทาง Bloomberg TV ว่า “ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำนายว่าดอลลาร์จะสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งคนที่สงสัยก็คิดผิด” เขาเชื่อว่าดอลลาร์จะยังไม่หายไปจากคลังเงินสำรองของธนาคารกลางหรือจากการเงินโลกในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็ยอมรับว่าต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้นในโลกหลายขั้ว และผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นคาดเดาไม่ได้ทั้งในและนอกสหรัฐ

อ้างอิง : bloomberg.com

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งหมด ได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก การเงินธนาคาร

“อินเดีย” ชี้สินค้าส่งออกไปสหรัฐกว่า 55% เจอภาษี 50% จากนโยบายทรัมป์

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นเอเชีย ปิดผสม นิกเกอิพุ่งกว่า 1.8% แรงซื้อหุ้นเทคโนโลยีหนุน

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

AWC อวดกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 โต 12.7% แตะ 1,404 ล้านบาท

Khaosod

AWC เปิดกำไรไตรมาส 2/68 พุ่ง 1.4 พันล้าน โต 12.7% ชู "จูราสสิค เวิลด์" ปั้มยอด

ฐานเศรษฐกิจ

สรุปราคาทองวันนี้ 11 สิงหาคม 2568

สยามนิวส์

ซี อาร์ ซี สปอร์ตต่อยอดกลยุทธ์สร้างคอมมิวนิตี้เจาะกลุ่มแฟนบอล

ฐานเศรษฐกิจ

“ONEE” พลิกกำไรไตรมาส2/68 ปักธงกลยุทธ์Idol Marketingชูโรง

Manager Online

“พาณิชย์”จับมือ“เต่าบิน”ปั่นน้ำผลไม้ ช่วย"เกษตรกร"

TNN ช่อง16

เซ็นทรัลพัฒนา ปั้น Destination for New Gen Motherhood รับวันแม่ เปิดแคมเปญ‘My Mom My Mate’ จัดเต็มกิจกรรมตลอด เดือนสิงหาคมที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วไทย

Manager Online

"Nvidia-AMD" ยอมจ่าย 15% รายได้ขาย"ชิป"ในจีน

TNN ช่อง16

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...