ผลพวง‘ปะทะ’ กมธ.เทใจหนุน งบจัดหาอาวุธ!
"ดนุพร" ชวนประชาชนติดตามถกงบ 2569 วาระ 2-3 ในวันที่ 13-15 ส.ค.นี้ สำรวจผล กมธ.หั่นงบฯ กระทรวงบิ๊กอ้วนโดนเยอะสุด ผลพวงศึกชายแดน นักการเมืองพาเหรดหนุนซื้ออาวุธ โดยเฉพาะที่ผลิตในประเทศ แนะ ทร.ซื้อเรือฟริเกต 2 ลำให้ทำเหมือน ทอ.ซื้อฝูงบิน พร้อมหนุนทัพฟ้าซื้อเครื่องบินลำเลียง
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ส.ค.2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกพรรค แถลงว่า ในวันที่ 13-15 ส.ค.2568 จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 2-3 ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงฝากไปถึงประชาชนให้รับทราบว่าจะมีการพิจารณา ซึ่ง สส.แต่ละคนจะอภิปรายตามที่สงวนคำแปรญัตติไว้
“เชื่อมั่นว่าเมื่องบประมาณเสร็จสิ้นแล้วจะเตรียมนำเม็ดเงินนี้ไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ให้กับประเทศชาติที่ได้เผชิญปัญหา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาต่างๆ” นายดนุพรกล่าว
สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง เป็นประธาน กมธ. ได้พิจารณาแล้วเสร็จ และจะเข้าสู่สภาในวาระ 2-3 ในวันที่ 13-15 ส.ค.นั้น กมธ.มีมติปรับลดทั้งสิ้นรวม 8,920 ล้านบาท โดยกระทรวงและส่วนราชการที่ปรับลด 5 อันดับ ได้แก่ 1.กระทรวงมหาดไทย ปรับลด 2,148 ล้านบาท 2.หน่วยงานรัฐสภา 880 ล้านบาท 3.กระทรวงคมนาคม 795 ล้านบาท 4.กระทรวงสาธารณสุข 693 ล้านบาท และ 5.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 459 ล้านบาท
ทั้งนี้ งบประมาณที่ปรับลดได้จัดสรรให้ส่วนราชการตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอตามความเหมาะสมและจำเป็น รวม 8,690 ล้านบาท และจัดสรรให้หน่วยงานของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอัยการ รวม 230 ล้านบาท โดยส่วนราชการที่ได้รับงบประมาณเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1.รัฐวิสาหกิจ เพิ่มจำนวน 4,914 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างงานโยธาตามสัญญาสัมปทานฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม กทม.
2.กระทรวงการคลัง เพิ่ม 1,568 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศปี 2569 3.งบกลางเพิ่ม 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 4.กระทรวงแรงงาน เพิ่ม 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ มาตรา 39 5.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพิ่ม 153 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสนับสนุนการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ 6.หน่วยงานของศาล เพิ่ม 83 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานการพิจารณาพิพากษาคดีที่รวดเร็ว มีคุณภาพ 7.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่ม 20 ล้านบาท เพื่อใช้ในปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ส่วนของวัสดุเชื้อเพลิงและหล่อลื่น
นอกจากนั้นยังได้ตั้งเพิ่มในส่วนของ 2 แผนงาน ได้แก่ แผนงานบูรณาการ เพิ่ม 20 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ติดสารเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดและพัฒนาพฤตินิสัย และแผนงานบุคลากรภาครัฐ จำนวน 160 ล้านบาท เพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายบุคลากร 6 หน่วยงาน อาทิ สำนักงานอัยการสูงสุด 78 ล้านบาท, สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 32 ล้านบาท, สำนักงานศาลปกครอง 27 ล้านบาท, สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) 13 ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 6.9 ล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ งบกระทรวงกลาโหมและกองทัพ หลังเกิดสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กมธ.มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะว่า ควรสำรวจอัตรากำลังและบทบาทหน้าที่ของนายพล และพิจารณาปรับอัตรากำลังพลให้เหมาะสมตามภารกิจหน้าที่ และไม่บรรจุทดแทนอัตราที่ไม่จำเป็น รวมทั้งเร่งผลักดันโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด, ควรส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน, ควรกำหนดระเบียบเพื่อระบุสัดส่วนการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศจากผู้ผลิตภายในประเทศอย่างชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการปรับเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวแบบขั้นบันไดในระยะยาว ควบคู่กับการดำเนินนโยบายสนับสนุนทางภาษี และศุลกากรสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความจำเป็นต้องนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัสดุเพื่อการผลิตหรือประกอบภายในประเทศ
“ควรพิจารณาทบทวนรูปแบบการปฏิบัติงานของพลทหาร ภายหลังเสร็จสิ้นระยะการฝึกขั้นพื้นฐาน โดยเปิดให้สามารถปฏิบัติงานในลักษณะเช้าไปเย็นกลับ หรือจัดระบบการปฏิบัติงานเป็นกะที่มีวันหยุดพักผ่อนถี่ขึ้นตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการปฏิบัติหน้าที่และชีวิตส่วนตัว แนวทางดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจในการสมัครเข้ารับราชการทหารในระบบสมัครใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สำหรับกองบัญชาการกองทัพไทย กมธ.เสนอแนะว่า เร่งรัดขั้นตอนการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้รวดเร็วขึ้น และเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการเพื่อสกัดกั้นการกระทำความผิด และมุ่งเน้นให้สามารถสร้างแรงกดดันและผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเครือข่ายอาชญากรไซเบอร์ในพื้นที่เป้าหมาย ขณะที่กองทัพบก กมธ.เสนอว่า ควรขับเคลื่อนนโยบายการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศในสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านการป้องกันประเทศ และสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในประเทศ
กองทัพเรือ ควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการต่อเรือรบภายในประเทศ และเร่งรัดการจัดหาเรือฟริเกตให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ในสมุดปกขาว รวมถึงเพื่อทดแทนเรือฟริเกตที่ใกล้ครบอายุการใช้งานและเตรียมปลดประจำการในอนาคต โดยการจัดหาเรือฟริเกตควรดำเนินการในคลาสเดียวกันอย่างน้อย 2 ลำขึ้นไป เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าทางงบประมาณตามหลักการประหยัดจากขนาด โดยควรเสนอแผนการจัดหายุทโธปกรณ์ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามแนวทางเดียวกับการจัดหาเครื่องบินโจมตีขับไล่เป็นฝูงบินของกองทัพอากาศ
ขณะที่ กองทัพอากาศ ควรพิจารณาการจัดหาเครื่องบินลำเลียงทดแทนเครื่องบินที่มีอายุการใช้งานยาวนานและควรปลดระวาง เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมบำรุงในระยะยาว โดยการจัดหาควรคำนึงถึงภารกิจที่สามารถใช้งานร่วมกับภาคพลเรือนได้ ทั้งในด้านการทหารและการช่วยเหลือประชาชน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องพิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการใช้งาน รวมถึงบริบทด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในแนวทางที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสมดุลในเชิงยุทธศาสตร์ เป็นต้น.