‘ริวกู’สมบัติจากดาวเคราะห์น้อย ไขปริศนากำเนิดระบบสุริยะและสิ่งมีชีวิต
"นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าริวกู เป็นวัตถุโบราณที่หลงเหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะ พบสารสำคัญต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิต เช่น สารอินทรีย์หลาย ชนิด วิตามิน B3 กรดอะมิโนกว่า 20 ชนิด รวมไปถึงการค้นพบนิวคลีโอเบส (uracil) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ สารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่า สารตั้งต้นของชีวิตมีอยู่ในระบบ สุริยะ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตจะถือกำเนิดขึ้นบนโลก และอาจ หมายความว่าดาวเคราะห์น้อยริวกูอาจเป็นหนึ่งในต้น กำเนิดของชีวิตบนโลกก็เป็นได้"
บเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของวงการดาราศาสตร์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศ เมื่อองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ประสบความสำเร็จในการส่ง “ฮายาบูสะ 2” ยานสำรวจดาวเคราะห์น้อยสัญชาติญี่ปุ่น เดินทางไกลกว่าพันล้านกิโลเมตรสู่ดาวเคราะห์น้อย “ริวกู (Ryugu) ” เพื่อเก็บตัวอย่างจากใต้พื้นผิวและนำกลับมายังโลก ภายใต้ภารกิจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ภารกิจของฮายาบูสะ 2 มีเป้าหมายหลักในการสำรวจดาวเคราะห์น้อยริวกูและนำตัวอย่างดินกลับมาศึกษาวิจัยบนโลก ยานถูกส่งออกจากโลกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2014 ใช้เวลาราว 6 ปี เดินทางไกลกว่า 5,000 ล้านกิโลเมตร ก่อนจะลงจอดและเก็บตัวอย่างดินจากใต้พื้นผิวได้สำเร็จเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2019 จากนั้นจึงส่งแคปซูลบรรจุตัวอย่างกลับถึงโลกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2020 นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถนำชิ้นส่วนจากใต้พื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยกลับมาได้
สำหรับดาวเคราะห์น้อยริวกู (Asteroid 162173 Ryugu) เป็นเศษซากจากยุคกำเนิดระบบสุริยะเมื่อราว 4.6 พันล้านปีก่อน จัดอยู่ในประเภท C (คาร์บอนิก) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบดั้งเดิมของระบบสุริยะ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 900 เมตร ลักษณะคล้ายลูกข่าง พื้นผิวเป็นหิน และอยู่ในกลุ่มดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าริวกูเป็นวัตถุโบราณที่หลงเหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะ พบสารสำคัญต่อการกำเนิดสิ่งมีชีวิต เช่น สารอินทรีย์หลาย ชนิด วิตามิน B3 กรดอะมิโนกว่า 20 ชนิด รวมไปถึงการค้นพบนิวคลีโอเบส (uracil) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ สารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต ข้อมูลเหล่านี้บ่งชี้ว่า สารตั้งต้นของชีวิตมีอยู่ในระบบ สุริยะ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตจะถือกำเนิดขึ้นบนโลก และอาจ หมายความว่าดาวเคราะห์น้อยริวกูอาจเป็นหนึ่งในต้น กำเนิดของชีวิตบนโลกก็เป็นได้
โดยที่มาของชื่อ “ริวกู” มาจากชื่อของพระราชวังใต้ทะเลจากตำนานญี่ปุ่นที่ว่า ชาวประมงชื่ออูราชิมะ ทาโร่ได้ไปเยือนพระราชวังแห่งนี้และนำกล่องสมบัติ ลึกลับกลับมาด้วยเปรียบเสมือนกับยานฮายาบูสะ 2 ที่ได้ไปเยือนดาวเคราะห์ น้อยริวกู และกลับมายังโลกพร้อมกับสมบัติจากอวกาศนั่นเอง ทั้งนี้ตัวอย่างที่ได้จากดาวเคราะห์น้อยริวกู ได้ถูกแบ่งไปวิเคราะห์ในห้องทดลองหลักของญี่ปุ่น NASA และกลุ่มประเทศยุโรป อีกทั้งยังส่งต่อให้ทีมนักวิจัยนานาชาติและนำมาจัดแสดงแก่สาธารณชน ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์เข้าใจต้นกำเนิดของระบบสุริยะและความเป็นมาของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เป็นหนึ่งความสำเร็จของประเทศไทยเช่นกัน ที่ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) โดย สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ได้นำชิ้นส่วนจริงของดาวเคราะห์น้อยริวกู มาจัดแสดงในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชียนอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก โดยมีการจัดแสดงในงาน"อว.แฟร์ 2025 "ที่ผ่านมา และจะมีการจัดแสดงต่อที่งาน NARIT SCIENCE WEEK 2025 สัปดาห์วิทยาศาสตร์สำหรับคนรักดวงดาว ณ อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 20-30 สิงหาคม 2568 ก่อนจะส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นในสิ้นเดือนนี้
ดร.มติพล ตั้งมติธรรม นักวิชาการดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) เผยว่า ในงาน อว.แฟร์ ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้นำดินจากดวงจันทร์ของจีนมาจัดแสดง ส่วนในปีนี้ถือเป็นความท้าทายยิ่งกว่าเดิม เพราะเป็นครั้งแรกในเอเชียที่มีการจัดแสดงชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยริวกู ขนาด 2 มิลลิกรัม นอกประเทศญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้มีเพียงสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสเท่านั้นที่ได้สิทธิ์จัดแสดง และแม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็หาโอกาสชมได้ยาก เนื่องจากมักจัดเป็นนิทรรศการหมุนเวียน พร้อมกระบวนการขออนุญาตที่เข้มงวด จึงนับเป็นโอกาสพิเศษที่ประเทศไทยได้นำชิ้นส่วนสำคัญขององค์ประกอบดาวเคราะห์มาให้ประชาชนได้ชมอย่างใกล้ชิด
ดร.มติพล กล่าวต่อว่า ภารกิจสำรวจดาวเคราะห์น้อยริวกูถือเป็นหนึ่งในภารกิจอวกาศที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุด ระยะทางจากโลกกว่า 5,000 ล้านกิโลเมตร ต้องเดินทางออกนอกแรงโน้มถ่วงของโลกสู่เส้นทางโคจรรอบดวงอาทิตย์ เพื่อไปยังเป้าหมายที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 900 เมตร การลงจอดจึงเป็นเรื่องยากมากเพราะขาดแรงโน้มถ่วงช่วยตรึงยาน ทีมวิจัยต้องพัฒนาเทคนิคใหม่ อย่าง การยิงกระสุนทองแดงเพื่อเจาะพื้นผิวเพื่อให้เศษวัสดุลอยขึ้นมาจึงจะเก็บได้
ดร.มติพล กล่าวถึงการทำงานในภารกิจนี้ของทีมญี่ปุ่นที่ต้องใช้การคำนวณและควบคุมอย่างแม่นยำตลอดเวลา จนสามารถเก็บตัวอย่างได้ 5.4 กรัม แม้ปริมาณฟังแล้วอาจจะน้อยแต่มีค่ามหาศาล เพราะเป็นดาวเคราะห์น้อยประเภทคาร์บอนัสที่คงสภาพดั้งเดิมของระบบสุริยะได้ดีที่สุด ตัวอย่างจึงต้องเก็บรักษาอย่างเข้มงวดในกล่องปิดผนึกไนโตรเจนเพื่อป้องกันการสัมผัสอากาศ เนื่องจากการศึกษาชิ้นส่วนนี้อาจไขคำตอบสำคัญว่า วัตถุดิบกำเนิดชีวิตบนโลกอาจมาจากดาวเคราะห์น้อยเช่นนี้หรือไม่
“ภารกิจนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของ JAXA ที่เลือกทำสิ่งยากและแตกต่าง เช่น การสำรวจดาวเคราะห์น้อยแทนการไปดวงจันทร์เหมือนหลายประเทศ แม้ฮายาบูสะ 1 จะไม่ประสบความสำเร็จสมบูรณ์ แต่ญี่ปุ่นไม่ย่อท้อ และก้าวต่อจนฮายาบูสะ 2 สำเร็จตามเป้าหมาย ปัจจุบัน JAXA กำลังเตรียมภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของดาวอังคาร ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน สำหรับความร่วมมือกับไทย ขณะนี้มีการหารือกันแล้ว โดย JAXA ประทับใจในความสนใจของคนไทยต่อการสำรวจอวกาศ และมองว่าความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต และในโอกาสนี้ เราจะได้รับฟังเสวนาจาก ทีม JAXA ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ด้วย” ดร.มติพล กล่าว
ทั้งนี้การนำชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อยริวกูมาจัดแสดง ไม่เพียงทำให้เราได้สัมผัสกับวัตถุจากห้วงอวกาศที่อยู่ห่างไกลหลายพันล้านกิโลเมตร แต่ยังมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของมนุษยชาติในหลายด้าน ได้แก่ 1. ทำความเข้าใจการกำเนิดของระบบสุริยะและโลก ดาวเคราะห์น้อยก่อตัวขึ้นพร้อมระบบสุริยะ จึงเปรียบเสมือน “แคปซูลเวลา” ที่เก็บรักษาองค์ประกอบดั้งเดิม โดยเฉพาะกลุ่ม C-type ซึ่งพบมากถึง 75% ของดาวเคราะห์น้อยทั้งหมด และเชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด แต่โดยปกติจะเผาไหม้หมดในชั้นบรรยากาศโลก จึงจำเป็นต้องส่งยานสำรวจเพื่อเก็บตัวอย่างโดยตรง
2. ศึกษาที่มาของสิ่งมีชีวิตบนโลก การชนของดาวเคราะห์น้อยกับโลกในอดีต อาจนำองค์ประกอบสำคัญที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิต การศึกษาดาวเคราะห์น้อยริวกู ซึ่งเป็นตัวอย่างจริงที่ยังคงสภาพเดิม จะช่วยให้เข้าใจต้นกำเนิดของชีวิตยุคแรกบนโลกได้ดียิ่งขึ้น 3. เฝ้าระวังภัยจากอวกาศ ริวกูเป็นตัวอย่างของดาวเคราะห์น้อยใกล้โลกที่อาจเป็นภัยคุกคาม ข้อมูลจากภารกิจสำรวจจะช่วยให้เข้าใจรูปร่าง องค์ประกอบ และการเคลื่อนที่ของวัตถุเหล่านี้ เพื่อพัฒนาระบบติดตามและวางแผนเบี่ยงเบนวงโคจรในอนาคต 4. ป้องกันการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในอนาคต การศึกษาริวกูช่วยจำลองสถานการณ์การชนทั้งในอดีตและอนาคต เพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ที่อุกกาบาตพุ่งชนโลกจนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์