วิกฤติความอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ประธานาธิบดี Trump วิจารณ์การทำงานของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อย่างเปิดเผย
แม้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าการกดดันของ Trump ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีเหตุผลอันสมควร และธนาคารกลางควรเป็นอิสระ แต่ก็แทบไม่มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่ Fed จะถูกท้าทายถึงขนาดนี้
ล่าสุดการที่ Trump เสนอชื่อ Stephen Miran ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการ Board of Governors ของ Fed ยิ่งเป็นคำถามที่ดังขึ้นว่า ความเป็นอิสระของธนาคารกลางอาจถึงจุดสิ้นสุดแล้วหรือไม่
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและโลกการเงินหลังจากนี้ นักลงทุนต้องทำความเข้าใจเพื่อวางกลยุทธ์พร้อมรับมือ
จุดเริ่มต้น ต้องเข้าใจเหตุผลและที่มาของความเป็นอิสระก่อน เพื่อหาคำตอบว่าแท้จริงแล้วอิสระของ Fed ยังจำเป็นอยู่หรือไม่
ในช่วงทศวรรษ 1960s–1970s รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้นโยบายการคลังขยายตัว ธนาคารกลางกำหนดดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยสนับสนุน แต่ผลลัพธ์คือ “Great Inflation” เงินเฟ้อแตะระดับสองหลัก ความเชื่อมั่นต่อดอลลาร์สั่นคลอน
บทเรียนนี้ผลักดันให้เกิดแนวคิดว่า ธนาคารกลางควรเป็นอิสระจากการเมือง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคา (price stability) โดยไม่ต้องกังวลว่าผลลัพธ์จะสอดคล้องกับนโยบายฝั่งการเมืองหรือไม่
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เงินเฟ้อก็เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบโดยไม่กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน Trump และทีมเศรษฐกิจ ไม่ได้พูดตรง ๆ ว่า Fed ต้องใช้นโยบายการเงินสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ตั้งคำถามเรื่องความอิสระที่ไร้ความรับผิดชอบ
บทความของ Daniel Katz และ Stephen Miran เรื่อง Reform the Federal Reserve’s Governance to Deliver Better Monetary Outcomes ใน The Manhattan Institute ปี 2024 นำเสนอแนวคิดหลักว่า
“ความเป็นอิสระของธนาคารกลางสำคัญ แต่ถ้าอิสระมากเกินไปโดยไร้ความรับผิดชอบ จะกลายเป็นเกราะป้องกันความผิดพลาด”
เช่นในอดีตช่วงปี 2008–2015 หลังวิกฤตการเงินโลก Fed ยอมปล่อยให้นโยบายการเงินผ่อนคลายยาวนานแทนที่จะดูแลเงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้นจนผิดปกติมาจนถึงวันนี้
หรือล่าสุดที่เงินเฟ้อลดลง แต่ Fed กลับเลือกคงดอกเบี้ยสูงเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือมากกว่าหนุนเศรษฐกิจ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงกับฐานะทางการคลังโดยไม่จำเป็น
ทั้งหมดข้างต้น ไม่มีครั้งไหนที่ Fed จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดเลย จึงเป็นที่มาของคำถามและโอกาสของการเปลี่ยนแปลง
ถึงตรงนี้ เรื่องใหญ่สำหรับนักลงทุนคือความเป็นอิสระจะลดลงแค่ไหน และสิ่งที่ Trump และทีมเศรษฐกิจต้องการ จะส่งผลกับเศรษฐกิจและตลาดการเงินอย่างไรบ้าง
กรณีฐาน Persistent Pressure Fed ไม่เปลี่ยนแต่มีแรงกดดันต่อเนื่อง
เหตุการณ์ที่ Jerome Powell อยู่ในตำแหน่งต่อไปถึงปี 2026 โดยมี Trump โจมตีเชิงวาทกรรมใส่อย่างต่อเนื่อง เป็นกรณีที่ผมมองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด
ในกรณีนี้คาดว่า Fed จะอยู่ในโหมดตั้งรับเต็มตัว การลดดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นเพียง 50bps ในปีนี้ และ 50bps ในปีหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา ความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินเฟ้อต่ำจะมีมากขึ้น
บอนด์ยีลด์ระยะสั้นจะทรงตัวสูงตามดอกเบี้ย ขณะที่ยีลด์ระยะยาวจะปรับตัวขึ้นจากความเสี่ยงการคลัง ดอลลาร์มีแนวโน้มทรงตัวถึงอ่อนค่า ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะปรับตัวขึ้น ไปจนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณปัญหาเศรษฐกิจที่เด่นชัด
กรณีสอง Fed Restructure ต้องปรับโครงสร้างองค์กร
ความพยายามของ Trump สามารถเกิดเป็นรูปธรรมได้โดยการนำเรื่องการปรับโครงสร้าง Fed เข้าสู่สภาเพื่อผ่านกฎหมายปฏิรูป เช่น ลดวาระของกรรมการลง หรือให้ Fed สาขาภูมิภาคทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงทุกครั้ง ไปจนถึงให้อำนาจประธานาธิบดีปลดคณะกรรมการ Fed ได้ถ้านโยบายการเงินส่งผลเสียกับเศรษฐกิจ
กรณีนี้จะเพิ่มความผันผวนและความรับผิดชอบให้ Fed อย่างมาก อาจเห็นการลดดอกเบี้ยลงไปมากกว่ากรณีฐานถึง 100bps ช่วงที่เหลือของปีไปถึงปีหน้า ดอกเบี้ยมีแนวโน้มต่ำต่อเนื่อง เศรษฐกิจอาจไม่แย่ แต่เงินเฟ้อจะควบคุมลำบาก
ตลาดการเงินอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นทันที บอนด์ยีลด์จะชันขึ้น ดอลลาร์จะอ่อนค่าจากความเชื่อมั่นที่เสียไป พร้อมกับดอกเบี้ยที่ลดลง
ส่วนหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะมีแนวโน้มเป็นบวกก่อน จากแรงหนุนของการลดดอกเบี้ย แต่ระยะยาวจะต้องพบกับแรงต้านจากยีลด์ที่สูงขึ้นกดดัน Valuation พร้อมกับการอ่อนค่าของดอลลาร์ที่จะส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
กรณีสาม Leadership Overhaul ปรับโครงสร้างองค์กร และเปลี่ยนประธานทันที
กรณีที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้ตลาดมากที่สุด คือ Trump ผลักดันการปฏิรูป Fed พร้อมกับกดดันจน Jerome Powell ลงจากตำแหน่งก่อนครบวาระปี 2026 และแต่งตั้งประธาน Fed คนใหม่ที่มีแนวคิดด้านนโยบายการเงินสอดคล้องกับฝ่ายบริหาร
ในกรณีนี้ Fed จะถูกมองว่าสูญเสียความเป็นอิสระอย่างเต็มรูปแบบ การลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดภาระทางการคลัง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะหนุนการเติบโตระยะสั้น แต่จะเพิ่มความเสี่ยงที่เงินเฟ้ออาจควบคุมไม่ได้ในอนาคต
ผลกระทบของตลาดในกรณีนี้จะประเมินยากที่สุด แม้ยีลด์ระยะสั้นจะลดลงตามดอกเบี้ย แต่ยีลด์ระยะยาวอาจปรับตัวขึ้นแรงจากความกังวลกับความเป็นอิสระของ Fed ที่หายไป และเงินเฟ้อที่ไร้การควบคุม ดอลลาร์อาจอ่อนค่าหนักและเสี่ยงที่จะเสียสถานะ Reserve Currency เร็วขึ้น
น่ากลัวที่สุด คือหุ้นสหรัฐฯ อาจเกิดอาการช็อกระยะสั้น ความผันผวนพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกดดันให้ตลาดปรับฐาน ก่อนที่จะเริ่มทรงตัวได้เมื่อแรงหนุนจากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายผิดปกติมีผลกับธุรกิจคล้ายกับกรณี Fed Restructure
สุดท้ายไม่ว่ากรณีไหนจะเกิดขึ้น นักลงทุนต้องยอมรับว่า ความเป็นอิสระของ Fed ไม่ใช่หลักการที่อยู่ตลอดไป ดังที่ Paul Volcker อดีตประธาน Fed เคยกล่าวไว้ว่า
“A central bank is only as independent as Congress wants it to be.”
ความผันผวนจากวิกฤติความอิสระของ Fed คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
ภาพ: Drew Angerer / Getty Images