“อลงกรณ์” วิเคราะห์ลึก เหตุป่าอเมซอนถดถอย แต่ป่าไทยเพิ่มขึ้น
ถอดบทเรียนป่าอเมซอน-ป่าไทย!!! ”อลงกรณ์“ วิเคราะห์เปรียบเทียบวิกฤติผืนป่าอเมซอนลดลงแต่ป่าไทยเพิ่มขึ้น ชี้สาเหตุปัจจัยล้มเหลว&ความสำเร็จ
วันที่ 28 มิ.ย.68 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ได้โพสต์บทความเรื่อง“บทเรียนป่าอเมซอนและป่าไทย: ภารกิจฟื้นฟูผืนป่า เพิ่มขึ้นหรือลดลง?” ในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการถอดบทเรียนกรณีปัญหาวิกฤติของผืนป่าอเมซอนที่สูญเสียพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่องเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีความก้าวหน้าในการฟื้นฟูผืนป่าเพิ่มขึ้นไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีข้อความดังนี้
“บทเรียนป่าอเมซอนและป่าไทย: ภารกิจฟื้นฟูผืนป่า เพิ่มขึ้นหรือลดลง?”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.
ในขณะที่ป่าอเมซอนซึ่งเปรียบเสมือนปอดของโลกยังคงเผชิญวิกฤตการสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกลับแสดงให้เห็นความก้าวหน้าในการฟื้นฟูผืนป่าเพิ่มขึ้น บทความนี้จะนำเสนอการเปรียบเทียบสถานการณ์ป่าทั้งสองแห่ง พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของไทย
วิกฤตป่าอเมซอน: สถานการณ์น่าวิตก
ป่าอเมซอนยังคงสูญเสียพื้นที่ในอัตราที่น่าตกใจ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ป่าถูกทำลายไปประมาณ 5.3-5.9 ล้านไร่ แม้จะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นอัตราที่สูงมาก สาเหตุหลัก ได้แก่การขยายพื้นที่เกษตรกรรมโดยเฉพาะปศุสัตว์และปลูกถั่วเหลืองซึ่งเป็นสาเหตุกว่า 70% ของการทำลายป่า,การทำเหมืองผิดกฎหมาย ,การสร้างถนนและโครงสร้างพื้นฐานเช่น ถนน BR-319 ที่อาจเร่งการบุกรุกป่า และนโยบายของรัฐบาลในอดีตที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าการอนุรักษ์ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดพอ ยิ่งกว่านั้นสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นจากไฟป่าที่เกิดจากการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร โดยในบางปีมีจุดความร้อนสูงถึงกว่า 100,000 จุด ได้แต่หวังว่า รัฐบาลบราซิลภายใต้ประธานาธิบดี Lula da Silvaที่ประกาศฟื้นฟูนโยบายปกป้องป่าอเมซอน และลดการตัดไม้ทำลายป่าให้เป็นศูนย์ภายในปี 2030
จะบรรลุความสำเร็จ
ในอีกด้านหนึ่ง ป่าอเมซอนยังเป็นสมรภูมิสำคัญของโลกในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดว่าปี2025 จะเผชิญกับฤดูแล้งที่รุนแรงจากปรากฏการณ์ เอลนีโญ (El Niño)ซึ่งอาจทำให้ไฟป่าลุกลามมากขึ้น หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง การทำลายป่าอาจถึงจุดที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ (Tipping Point) ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลกทั้งระบบ
โมเดลไทย: ต้นแบบการฟื้นฟูป่า
ประเทศไทยภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม โดย รัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าไม้ 102 ล้านไร่ คาดหมายว่าพื้นที่ป่าจะเพิ่มขึ้นจาก 31.6% ในปี 2566เป็น 32%ภายในสิ้นปีปี 2568
โดยการลดอัตราการทำลายป่าจาก 300,000 ไร่ต่อปีในปี 2566 เหลือเพียง 150,000 ไร่ในปี 2568 หรือลดลงถึง 50%โดยเฉพาะการทำงานเชิงรุกล่วงหน้าแบบบูรณาการทุกภาคส่วน
ที่ปรากฏผลแล้วนั่นคือการควบคุมไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้จุดความร้อน (Hotspot) ลดลง 40% ในฤดูร้อนปี 2568ที่ผ่านมาควบคู่กับมาตรการห้ามเผาเด็ดขาด รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆในโครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ที่สามารถดำเนินการไปแล้วกว่า 600,000 ไร่ และโครงการทวงคืนผืนป่าที่ได้พื้นที่คืนมาแล้วกว่า 200,000 ไร่รวมทั้งขยายโครงการธนาคารต้นไม้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้มีค่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว
กลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่าง
สิ่งที่ทำให้ไทยแตกต่างจากบราซิลคือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อย่างเต็มที่ ทั้งระบบดาวเทียม THEOS-2 ที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของผืนป่าได้แบบเรียลไทม์ และแอปพลิเคชัน Forest Watch ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรายงานการบุกรุกป่า
ตลอดจนการสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมอนุรักษ์ป่าไม้ผ่านโครงการป่าชุมชนถึงวันนี้สามารถจัดตั้งป่าชุมชนกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศกว่า 12,747 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 7 ล้านไร่ มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากป่าชุมชนกว่า 4 ล้านครัวเรือนโดยมีเป้าหมายขยายเป็น 15,000 แห่งทั่วประเทศ
ความสำเร็จในวันนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายการมีพื้นที่ป่า 40% ของประเทศภายในปี พ.ศ. 2579และขับเคลื่อนสู่การเป็นประเทศที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี ค.ศ. 2050และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065
สรุปบทเรียนของไทย
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างป่าอเมซอนที่ยังคงเผชิญวิกฤตป่าลดลงกับความสำเร็จของไทยในการฟื้นฟูป่าไม้เพิ่มขึ้นได้แสดงให้เห็นว่าการอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากแต่เริ่มจากนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด การบริหารเชิงรุกของรัฐมนตรีอย่างเป็นระบบ มีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผสมผสานเทคโนโลยี่สมัยใหม่และการระดมการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนในเชิงลึกและเชิงกว้างอย่างเป็นรูปธรรม.