เปิด 5 ฉากทัศน์ศึกไทย-เขมรเขย่าศก. กูรูชี้หยุดยิงเสี่ยงล่มฉุด GDP 0.8%
เสียงปืนอาจเงียบลง แต่แรงสะเทือนจากศึกชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยืดเยื้อกว่า 5 วันกลับยังคงสั่นคลอนเสถียรภาพของภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง ความรุนแรงที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ไม่เพียงคร่าชีวิตผู้คนไป 36 ราย และทำให้กว่า 150,000 คนต้องอพยพหลบภัย แต่ยังเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ทั้งสองประเทศเผชิญหน้าด้วยอาวุธขั้นสูง และขยายแนวรบจากดินแดนสู่ท้องทะเลอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้ข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมจะถูกยกให้เป็น "ชัยชนะทางการทูต" ภายใต้แรงกดดันของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และเวทีไกล่เกลี่ยอาเซียนที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ แต่คำถามที่ทุกฝ่ายยังตอบไม่ได้คือ นี่คือจุดเริ่มต้นของสันติภาพ หรือเพียงแค่ช่วงพักหายใจก่อนเข้าสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่? เพราะเบื้องหลังข้อตกลงที่เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ ยังเต็มไปด้วยเงื่อนไขที่ไม่ลงรอย ความไม่ไว้ใจกันอย่างลึกซึ้ง และข้อพิพาทพรมแดนที่ไม่มีใครยอมถอย
ในรายงานฉบับนี้ Innovest X ได้ผ่าฉากทัศน์ความเป็นไปได้ของวิกฤตชายแดนอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ทางออกแบบสันติที่อาจช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวภายในไม่กี่เดือน ไปจนถึงภาพฝันร้ายของสงครามเต็มรูปแบบที่จะลากไทยเข้าสู่ภาวะ "เศรษฐกิจสงคราม" ด้วย GDP ที่อาจทรุดฮวบถึง 6% พร้อมบทวิเคราะห์เจาะลึกผลกระทบต่อการค้า ท่องเที่ยว แรงงานข้ามชาติ และความมั่นคงของรัฐบาลทั้งสองฝั่ง
ศึกชายแดนเดือดสุดในรอบ 10 ปี หยุดยิงแล้วแต่ข้อตกลงยังเปราะบาง
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ได้ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการเผชิญหน้าทางทหารที่หนักหน่วงที่สุดในรอบสิบปี โดยเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายใช้อาวุธขั้นสูง และขยายแนวรบจากภาคพื้นดินสู่ทะเลอ่าวไทย ความรุนแรงในครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 36 ราย และประชาชนกว่า 150,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายลงจากแรงกดดันทางการทูตและเศรษฐกิจ นำไปสู่การลงนาม “ข้อตกลงหยุดยิง” เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
การหยุดยิงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าว โดยขู่ว่าจะระงับการเจรจาการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชาหากยังไม่มีความคืบหน้าในการยุติการใช้กำลัง พร้อมเดินหน้าผลักดันให้เกิดเวทีไกล่เกลี่ยในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน โดยมีผู้แทนจากทั้งสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วม ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีบทบาทโดยตรงในการกดดันผ่านการเจรจาทางโทรศัพท์กับภุมิธรรม เวชยะชัย ตัวแทนฝ่ายไทย และสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ทั้งนี้ แม้การหยุดยิงจะถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ แต่สถานการณ์ยังคงเปราะบาง เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้แก้ไขข้อพิพาทหลักเรื่องเขตแดนซึ่งสะสมมานานหลายทศวรรษ ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เกิดข้อตกลงในเวลาอันสั้นดูจะมาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจมากกว่าความพยายามเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในฝั่งไทยที่กำลังเผชิญหน้ากับการเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
นอกจากนี้ ข้อตกลงหยุดยิงยังคงมีประเด็นข้อพิพาทที่ยังไม่คลี่คลาย ฝ่ายไทยเสนอให้มีการถอนกำลัง ยุติการใช้อาวุธ และเปิดเวทีหารือผ่านกลไกทวิภาคี ขณะที่กัมพูชาสนับสนุนการหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข และเรียกร้องให้นำข้อพิพาทในพื้นที่ 4 จุด ส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งไทยยืนกรานไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลดังกล่าว สะท้อนถึงความแตกต่างเชิงโครงสร้างที่ยังต้องจับตาในระยะต่อไป
หากยืดเยื้อ การค้า-ท่องเที่ยว-เกษตร เสี่ยงเสียหายหนัก
จากการประเมินของ Innovest X ข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่อาจสรุปได้ว่าจะนำไปสู่สันติภาพอย่างถาวร โดยมีการประเมินว่าโอกาสที่ข้อตกลงนี้จะพัฒนาไปสู่ความสงบถาวรอยู่ที่ราว 60% ทว่าเงื่อนไขยังคงเปราะบางจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ความไม่ลงรอยกันในรายละเอียดของข้อตกลง และการไม่มีความคืบหน้าในการจัดการกับปัญหารากฐานของความขัดแย้ง
ในอีกด้าน ความเสี่ยงที่สถานการณ์จะกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้งยังมีอยู่ราว 25% โดยเฉพาะในกรณีที่มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง หรือเกิดเหตุยั่วยุในพื้นที่ชายแดนที่ทั้งสองฝ่ายยังคงตรึงกำลังอย่างเข้มข้น ขณะที่อีก 15% เป็นความเสี่ยงในกรณีสุดโต่ง เช่น ความขัดแย้งลุกลามสู่สงครามเต็มรูปแบบ การแทรกแซงของมหาอำนาจจากภายนอก หรือการเปิดแนวรบใหม่ในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในเขตอ่าวไทยซึ่งเคยเกิดการปะทะมาแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ บทเรียนจากเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงปี 2551-2554 สะท้อนให้เห็นว่า ข้อตกลงหยุดยิงที่ไม่สามารถจัดการปัจจัยเชิงโครงสร้างของความขัดแย้งอย่างจริงจัง มักเป็นเพียงช่วงหยุดพักชั่วคราว ก่อนจะนำไปสู่การปะทะรอบใหม่ในที่สุด
ในกรณีที่ข้อตกลงหยุดยิงล้มเหลว Innovest X เตือนว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทั้งสองประเทศจะรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทยและกัมพูชาในช่วงเวลานี้
- การค้าชายแดน: มูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่กว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปีก่อนหน้า ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของกัมพูชา โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่มีมูลค่า 176,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปิดจุดผ่านแดน
- การท่องเที่ยว: ทั้งสองประเทศพึ่งพาการท่องเที่ยวในสัดส่วนสูง โดยไทยพึ่งพา 12% ของ GDP และกัมพูชาพึ่งพา 9% (ข้อมูลปี 2567) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ประเมินว่าไทยจะได้รับผลกระทบจำกัด เพราะแหล่งท่องเที่ยวหลักอยู่ห่างจากชายแดน ในขณะที่กัมพูชาจะเผชิญผลกระทบมากกว่า เพราะนักท่องเที่ยวมองว่าไม่ปลอดภัย และไม่มีฐานนักท่องเที่ยวประจำเหมือนไทย
- แรงงานเกษตร: แรงงานกัมพูชาคิดเป็นกว่า 80% ของแรงงานภาคเกษตรในจังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะในกิจกรรมการเก็บผลไม้และบรรจุภัณฑ์ การปิดชายแดนเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเกษตรไทย โดยประธานหอการค้าจันทบุรีประเมินว่าหากปิดจุดผ่านแดนมากกว่าหนึ่งสัปดาห์ ความเสียหายอาจสูงกว่า 1,000 ล้านบาท
บทวิเคราะห์ 5 ฉากทัศน์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และผลกระทบต่อไทย
จากการประเมินสถานการณ์เชิงลึก Innovest X จัดฉากทัศน์ของความเป็นไปได้ใน 5 รูปแบบที่ต่างกันตามระดับความรุนแรงและช่วงเวลา โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ฉากทัศน์ที่ 1: การหยุดยิงและเจรจาอย่างสันติภายใน 3–6 สัปดาห์
มีความเป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบันที่ 60% สถานการณ์นี้ได้รับแรงสนับสนุนจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเบื้องต้นและแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ขู่ตัดข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศหากความรุนแรงดำเนินต่อไป อาเซียนเริ่มเข้ามามีบทบาทในฐานะตัวกลางไกล่เกลี่ย อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ความแตกต่างในเงื่อนไขการหยุดยิง ปัญหาความไม่ลงรอยระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับกองทัพ และอารมณ์ชาตินิยมที่ยังร้อนแรงในสังคมทั้งสองฝั่ง
ในด้านการเมือง หากเข้าสู่กระบวนการเจรจาได้สำเร็จ รัฐบาลไทยจะมีจังหวะฟื้นตัวและลดแรงต้านจากกลุ่มการเมืองภายในประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตของกัมพูชาจะมีโอกาสแสดงภาวะผู้นำในเวทีระหว่างประเทศและกลับมาจัดการปัญหาเศรษฐกิจในประเทศอย่างจริงจัง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจในฉากทัศน์นี้จะค่อนข้างจำกัด โดยไทยจะสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้เร็ว การค้าชายแดนจะฟื้นตัวภายใน 1-2 เดือน และกระแสเงินทุนจากกิจกรรมหลีกเลี่ยงภาษีผ่านชายแดนมูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาทจะกลับมา กัมพูชาจะได้รับประโยชน์จากเงินโอนแรงงานคิดเป็น 6.6% ของ GDP ที่ไหลกลับ การนำเข้าสินค้าจำเป็นกลับเข้าสู่ระบบ และการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ คาดว่า GDP ไทยจะได้รับผลกระทบเพียง 0.1-0.2% และจะฟื้นตัวเต็มที่ภายใน 6-12 เดือน
- ฉากทัศน์ที่ 2: ความขัดแย้งยืดเยื้อในช่วง 6-18 เดือน
มีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 25% โดยอาจเกิดจากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง การนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และแรงกดดันจากกลุ่มที่ยังสนับสนุนแนวทางแข็งกร้าว แม้จะมีแรงต้านจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ความเหนื่อยล้าของประชาชน และแรงกดดันจากนานาชาติ
สถานการณ์นี้จะส่งผลให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะไร้เสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่ในกัมพูชา ฮุน เซน จะใช้โอกาสนี้ในการเสริมอำนาจ ควบคุมการเมืองภายใน และได้รับการสนับสนุนจากจีนเพิ่มขึ้น
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเริ่มชัดเจน โดยไทยอาจสูญเสียรายได้จากการค้าชายแดนปีละ 1.5-3.0 แสนล้านบาท ต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมปีละ 1-2 แสนล้านบาท และการลงทุนต่างชาติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลง 10-15% ส่วนกัมพูชาจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ เงินโอนแรงงานหายไป สินค้าขาดแคลน และเงินเฟ้อพุ่งสูง คาดว่า GDP ไทยจะหดตัว 0.5-0.8%
- ฉากทัศน์ที่ 3: สงครามขยายตัวเป็นวงกว้างและกระทบจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงทะเล
แม้จะมีความน่าจะเป็นเพียง 10% แต่หากเกิดขึ้นจริง ความเสียหายจะรุนแรง โดยเกิดจากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างรุนแรง การขยายแนวรบทางทะเล และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่การแทรกแซงจากมหาอำนาจ
สถานการณ์นี้จะทำให้รัฐบาลพลเรือนไทยเผชิญความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียอำนาจหรือถูกจำกัดบทบาท การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปได้สูง กัมพูชาจะกลายเป็นรัฐในอิทธิพลของจีนเต็มรูปแบบ และเข้าสู่ระบบควบคุมสังคมเบ็ดเสร็จ
เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น 3-5 แสนล้านบาท การลงทุนต่างชาติถดถอย 30-40% ราคาพลังงานปรับขึ้น 10-20% และการส่งออกผ่านอ่าวไทยสูญรายได้อีก 2-4 แสนล้านบาท คาดว่า GDP ไทยจะหดตัวในระดับ 1.5-2.5%
- ฉากทัศน์ที่ 4: การแทรกแซงของมหาอำนาจ (จีนหรือสหรัฐฯ)
มีความน่าจะเป็นประมาณ 4% ซึ่งจะเกิดขึ้นหากเส้นทางการค้าถูกคุกคาม หรือหากเกิดข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับฐานทัพยุทธศาสตร์ เช่น ฐานทัพเรียมในกัมพูชาของจีน และฐานทัพเรือพังงาของไทยที่สหรัฐฯ ใช้ประโยชน์
แม้ประชาชนของทั้งสองประเทศไม่ต้องการสงครามขนาดใหญ่ และต้นทุนการแทรกแซงจะสูงมาก แต่หากเกิดขึ้น ไทยจะสูญเสียความเป็นกลางและกลายเป็นเวทีของการปะทะระหว่างสองขั้วอำนาจ ขณะที่กัมพูชาจะสูญเสียอธิปไตยบางส่วนและพึ่งพาจีนอย่างเบ็ดเสร็จ
ผลทางเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในกรอบของ "เศรษฐกิจสงครามแบบจำกัด" ที่ต้องเพิ่มงบป้องกันประเทศ 500,000-800,000 ล้านบาท ค่าเงินบาทอ่อนลง 8-15% และการค้าผ่านอ่าวไทยหยุดชะงักบางส่วน คาดว่า GDP จะลดลง 2.0-3.5%
- ฉากทัศน์ที่ 5: สงครามเต็มรูปแบบและการรุกรานดินแดนหลัก
เป็นกรณีเลวร้ายที่สุด แม้มีความน่าจะเป็นเพียง 1% แต่หากเกิดขึ้นจะเป็นหายนะทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรมของทั้งสองประเทศ ปัจจัยที่อาจนำไปสู่ฉากทัศน์นี้ได้แก่ ความล้มเหลวของการทูต การควบคุมไม่ได้จากผู้นำ อุบัติเหตุขนาดใหญ่ หรือการยั่วยุจากภายนอก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ไทยจะเข้าสู่ภาวะสงครามอย่างเป็นทางการ มีการประกาศสภาวะสงครามและจัดตั้งรัฐบาลทหาร ระบบการเมืองหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง ขณะที่กัมพูชาจะปิดประเทศ พึ่งพาจีนอย่างเบ็ดเสร็จ และควบคุมสังคมเต็มรูปแบบ
เศรษฐกิจไทยจะถูกผลักเข้าสู่โหมด "เศรษฐกิจสงคราม" โดยมีงบป้องกันประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 1-2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 5-10% ของ GDP การท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ 0.8-1.2 ล้านล้านบาท การลงทุนต่างชาติหายไปทั้งหมด และระบบการเงินไม่เสถียร คาดว่า GDP ไทยจะหดตัวถึง 4.0-6.0%
สรุปผลกระทบต่อ GDP ไทยในปี 2568
จากการประเมินทั้งห้าฉากทัศน์ สามารถสรุประดับผลกระทบต่อ GDP ไทยได้ดังนี้
- ฉากทัศน์ที่ 1 (หยุดยิงและเจรจา): GDP หดตัว 0.1-0.2%
- ฉากทัศน์ที่ 2 (ความขัดแย้งยืดเยื้อ): GDP หดตัว 0.5-0.8%
- ฉากทัศน์ที่ 3 (สงครามวงกว้าง): GDP หดตัว 1.5-2.5%
- ฉากทัศน์ที่ 4 (มหาอำนาจแทรกแซง): GDP หดตัว 2.0-3.5%
- ฉากทัศน์ที่ 5 (สงครามเต็มรูปแบบ): GDP หดตัว 4.0-6.0%
ดังนั้น การควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 และหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศตกอยู่ในภาวะวิกฤตรุนแรงทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง และการพัฒนา