24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2568

24 ชั่วโมงข่าว 91 ประจำวันที่ 23 กรกฎาคม 2568

>> อุบัติเหตุหมู่มีผู้เสียชีวิต รถบรรทุกชนกับรถกระบะ มีผู้เสียชีวิต 3 รายช่วงทางโค้งลงเขา

09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สังขละบุรี ได้รับแจ้งว่า มีอุบัติเหตุรถชนกันหลายคันและมีผู้บาดเจ็บหลายราย บนถนนหมายเลข 323 เส้นทางทองผาภูมิ มุ่งหน้าไปสังขละบุรี ช่วงหลัก กม.ที่ 182 ในพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี

ที่เกิดเหตุ พบรถกระบะ อีซูซุ สีเทา ลักษณะถูกรถบรรทุก 10 ล้อ สีขาวชนจนสภาพพังเสียหายยับทั้งคัน ตรวจสอบพบว่าภายในรถกระบะ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และมีบาดเจ็บ 1 รายเป็นคนขับ ทางอาสาสมัครดำเนินการงัดรถและนำร่างตัวออกมา ก่อนจะนำส่ง รพ.สังขละบุรี

จากการตรวจสอบ พบว่ามีรถกระบะที่เกิดอุบัติเหตุร่วมอีก 4 คัน อยู่ในสภาพถูกเฉี่ยวชนได้รับความเสียหาย และพบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 15 ราย ที่มากับรถกระบะคันอื่นๆ ทางเจ้าหน้าที่จึงรีบนำส่ง รพ.ใกล้เคียง ในส่วนของสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างการสอบสวน

>> ไฟฟ้าลัดวงจร ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ย่านปทุมวัน เจ้าหน้าที่ใช้น้ำทำการดับเพลิงสงบ ก่อนจะลุกลาม

10.46 น. สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเหตุไฟฟ้าลัดวงจร สถานที่เกิดเหตุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ชั้น 1 ภายในห้องปั๊มน้ำ เพลิงลุกไหม้เสียหายสายไฟฟ้า ท่อพีวีซี ลุกลามกองวัสดุ ไม่ส่งผลกระทบต่อตัวอาคาร พื้นที่เพลิงไหม้เสียหายโดยประมาณ 1 ตารางเมตร เจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้น้ำทำการดับเพลิงสงบ ที่เกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยบรรทัดทอง

>> หญิงชราดับสลดในบ้าน พร้อมสุนัขคู่ใจ คาดจุดยากันยุงก่อนหลับ

11.30 น. ตำรวจ สน.บางขุนนนท์ ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้บ้านพักส่วนบุคคลในย่านฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ หลังเพลิงสงบ พบผู้เสียชีวิตเป็นหญิงอายุ 72 ปี พร้อมสุนัข 1 ตัว ภายในห้องนอน

จากการตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เพลิงเริ่มต้นจากบริเวณหัวเตียง ลุกลามที่นอนและตู้เสื้อผ้า ภายในห้องพบกล่องยากันยุงแบบจุดวางอยู่ เจ้าหน้าที่คาดว่าอาจเป็นต้นเพลิง

ด้าน นายบอ (นามสมมุติ) อายุ 55 ปี ญาติผู้ตาย ระบุว่า ผู้เสียชีวิตพักอาศัยเพียงลำพัง ไม่มีสามีหรือบุตร และป่วยหลายโรค คาดว่าอาจจุดยากันยุงไว้ก่อนหลับ จนเกิดเหตุสลดดังกล่าว

เบื้องต้น ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตอาจสำลักควันและหาทางออกไม่พบ จึงเสียชีวิตพร้อมสุนัขที่อยู่ด้วยกันเป็นประจำ เจ้าหน้าที่ได้นำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียดต่อไป

>> ตร.ไซเบอร์ เปิดปฏิบัติการ “MONEY CASH BACK" ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน

13.30น. ตำรวจไซเบอร์ แถลงข่าว “MONEY CASH BACK ปิดบัญชี ตามล่าม้า คว้าเงินคืน EP.18-19” รวบบัญชีม้าแก๊งปลอมเป็นตำรวจขอนแก่นขู่เอี่ยวค้ามนุษย์ พร้อมล่าขบวนการเนียนตีซี้แล้วหลอกลงทุน เหยื่อ 2 ราย เสียหายรวมกว่า 24.5 ล้าน อายัดทัน 1.5 ล้าน นำคืนผู้เสียหาย

สืบเนื่องจาก ก่อนหน้านี้ ตำรวจไซเบอร์สามารถจับกุมเครือข่ายบัญชีม้าของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ และสามารถติดตามนำคืนให้แก่ผู้เสียหายตามขั้นตอนในโครงการ “MONEY CASH BACK” ไปแล้วหลายครั้ง รวมจำนวนเงินกว่า 227.5 ล้านบาท โดยล่าสุดได้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จำนวน 2 ราย รวมความเสียหายกว่า 24.5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากทั้ง 2 ปฏิบัติการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามอายัดเงินได้รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,500,000 บาท โดยวันนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดติดตามคดี จึงได้

>> บุกทลายแหล่งสต๊อกบุหรี่ไฟฟ้ากลางกรุง คาดเตรียมส่งรายย่อย ตรวจยึดกว่า 7,000 ชิ้น มูลค่า 3 ล้านบาท

13.47 น. กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. เข้าตรวจค้น บ้านพักในพื้นที่ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พร้อมตรวจยึด บุหรี่ไฟฟ้า บรรจุอยู่ภายในกล่องลังกระดาษห่อหุ้มด้วยกระสอบสีเขียว รวมจำนวนกว่า 7,000 ชิ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท รวบผู้ต้องหาชาย1ราย อายุ 29 ปี ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านพิธีศุลกากรโดยถูกต้อง”

สอบถามนิติบุคคลฯเบื้องต้น ทราบว่า สถานที่แห่งนี้ มีผู้อาศัยเป็นชาวจีนและชาวไทย ซึ่งจะเข้ามายังสถานที่ดังกล่าวเป็นระยะ ไม่ได้อาศัยอยู่ประจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดบุหรี่ไฟฟ้า รวมจำนวนกว่า 7,000 ชิ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านบาท

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเรียกให้ผู้เช่าสถานที่ดังกล่าวเข้ามาพบเพื่อทำการสอบสวน เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธว่าบุหรี่ดังกล่าวไม่ใช่ของตนเอง แต่เป็นของชาวจีนที่ให้ตนเป็นนายหน้าในการเช่าสถานที่และทำธุรกรรมต่างๆ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

>> หญิงวัย 56 ขี่ จยย. เกี่ยวสายสื่อสารที่ห้อยต่ำ ล้มกลางถนน เจ็บโชคดีไม่ถูกรถหลังเหยียบซ้ำ

14.00 น. สภ.เมืองพัทลุง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทลุง ถนนช่วยทุกขราษฎร์ ต.คูหาสวรรค์ อ.เมืองพัทลุง จึงเร่งเข้าตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย

ในที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ยามาฮ่า มีโอ ทะเบียน ตรัง ล้มอยู่กลางถนน ใกล้กันมีผู้บาดเจ็บคือ หญิงไทย อายุ 56 ปี ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกตามร่างกาย ยังรู้สึกตัวดีและสามารถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ได้

จากการสอบถามเบื้องต้น ผู้บาดเจ็บเล่าว่ากำลังขี่รถไปตลาด เมื่อถึงจุดเกิดเหตุซึ่งอยู่ หน้าสถานีตำรวจ รถเกิด เกี่ยวกับสายสื่อสารที่ขาดและห้อยต่ำอยู่กลางถนน จนเสียหลักล้มลง โชคดีที่ขณะเกิดเหตุไม่มีรถคันอื่นตามหลัง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุสลดซ้ำซ้อน
หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมทั้งตำรวจช่วยรื้อสายสื่อสารที่ห้อยลงบนถนนออกจากเส้นทางการจราจร และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รีบเข้ามาดำเนินการแก้ไขโดยด่วน

>> เหตุแก๊สรั่วไหล ภายในบริษัทขึ้นรูปจิวเวลรี่ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มีผู้ประสบอาการสำลักควัน กู้ภัยช่วยเหลือปฐมพยาบาล

14.36 น. สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเหตุแก๊สรั่วไหล สถานที่เกิดเหตุ บริษัทแห่งหนึ่ง ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร

ลักษณะที่เกิดเหตุเป็นอาคาร 5 ชั้น ต้นเพลิงเกิดขึ้นที่ ชั้น 4 เพลิงลุกไหม้เสียหายเฉพาะพรมปูพื้น ไม่ส่งผลกระทบต่อตัวอาคารพื้นที่เพลิงไหม้เสียหายโดยประมาณ 4.50 ตารางเมตร ประชาชนทำการปิดวาล์วแก๊สเรียบร้อย ก่อนรถดับเพลิงถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำการระบายควัน

ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น สาเหตุเพลิงไหม้เกิดจากสายแก๊สชำรุดในระหว่างการขึ้นรูปจิวเวลรี่ (ชนิดแก๊สแอลพีจี) ที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นเพศ ชาย จำนวน 1 ราย มีอาการสำลักควัน อาสาสมัครปฐมพยาบาลในที่เกิดเหตุไม่ประสงค์ไปโรงพยาบาล พื้นที่รับผิดชอบของสถานีดับเพลิงและกู้ภัยทุ่งมหาเมฆ

>> ผบ.ตร. อยากเจอครอบครัวน้องเมย เคลียร์ใจ ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจ

14.38 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตอย่างปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ซึ่ง 1 ในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลยปัจจุบันรับราชการตำรวจ ว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาตินำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน ตนขอเวลาให้จเรตำรวจแห่งชาติได้ไปพิจารณาก่อน เพราะขณะนี้คู่กรณีเป็นตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าทางตำรวจจะประสานกับกองทัพไทยเพื่อนำข้อมูลของคู่กรณีรายนี้มาพิจารณาทางวินัยตำรวจหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ ตนจะมอบให้จเรตำรวจแห่งชาตินำพยานหลักฐานต่างๆ เรื่องอาญาที่คาดว่าเป็นไปในระดับหนึ่งแล้ว ทางจเรตำรวจแห่งชาติจะต้องไปพิจารณาดูว่าจะดำเนินการได้ตามระเบียบคำสั่งขั้นตอนใดบ้าง อย่างไรบ้าง ซึ่งส่วนนี้จะประกอบกับที่ตนจะคุยกับพ่อและแม่ของน้องเมย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงการคุยเรื่องรายละเอียดของพยานในคดี ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปดูรายละเอียดให้รอบคอบ

เมื่อถามว่าการที่คู่กรณีเคยมีพฤติกรรมที่นำไปสู่การเสียชีวิตของบุคคลหนึ่งและได้มารับราชการตำรวจ จะทำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ในส่วนจริยธรรมมีการกำหนดเอาไว้เป็นหลักของตำรวจ จเรตำรวจแห่งชาติจะต้องเป็นผู้นำมาประกอบว่าประเด็นจริยธรรมดังกล่าวจะเข้าส่วนใดบ้างของทางวินัย และจะร้ายแรงและไม่ร้ายแรง ต้องพิจารณาจากข้อมูลที่รอบด้าน ส่วนการที่พ่อแม่ของน้องเมยจะนำเรื่องนี้ไปถึงศาลแพ่ง ส่วนตัวคาดว่าเป็นไปได้

เมื่อถามว่ากรณีที่ครอบครัวน้องเมยแจ้งดำเนินคดีกับแพทย์ผู้ชันสูตรรายแรกกรณีที่ทำอวัยวะน้องเมยสูญหาย ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) พญาไท พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนได้มอบหมายเรื่องนี้ให้จเรตำรวจแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาร่วมด้วย

>> ตร.เตรียมออกหมายจับบุคคลเอี่ยว คดีเงินและทองในวัดม่วงหาย

16.11 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวนตำรวจนครบาล กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 เข้าร่วมประชุมหารือกับชุดสืบและผู้กำกับ สน.เพชรเกษม เป็นการเร่งด่วนเพื่อเตรียมสรุปสำนวนขอศาลอาญาธนบุรี อนุมัติหมายจับ 1 ใน 5 บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว

ส่วนกรณีที่หลายสื่อฯ มีการเผยแพร่คลิปเจ้าอาวาสวัดม่วงหอบเงินจำนวนหนึ่งไปธนาคารเมื่อช่วงสายของวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวน สน.เพชรเกษม ได้เข้าไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เบื้องต้นอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับทองคำที่แจ้งว่าหายไว้หรือไม่ หรือว่าเป็นเงินจากการทำบุญของญาติโยม ซึ่งตรงนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อความชัดเจน ด้าน อดีตไวยาวัจกรวัด ที่มีรายงานว่าเป็นคนแนะนำเรื่องการลงทุนซื้อขายทองคำให้กับเจ้าอาวาส จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้

ส่วนบรรยากาศภายในวัดม่วงบางแคเงียบเหงาตั้งแต่ช่วงเช้า พระสงฆ์ต่างจำวัดอยู่ภายในกุฏิ โดยไม่มีใครสะดวกออกมาให้ข้อมูล มีเพียงพระรูปเดียวคือ “พระนิทัศน์” ที่พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อฯ ซึ่งพระนิพัทธ์ยังย้ำอยู่ตลอดว่าถ้าพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้แล้วได้ความว่า ทองคำหายไปจริง ตนจะยอมสึก เพราะตนยังมั่นใจว่าทองไม่ได้หายไปไหน แต่เจ้าอาวาสเป็นคนนำไปขายเองแล้วไปแจ้งความหาย

ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ออกหมายเรียก หนึ่งในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับกรณีดังกล่าวมาสอบปากคำในช่วงบ่ายวันนี้ หากยังคงยืนยันในคำให้การเดิม ที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนเตรียมเสนอศาลออกหมายจับฐานให้การเท็จ

>> พระวัย 66 ปี พลาดตกหน้าผาวัดลิงค์ ขณะตัดกิ่งไม้ ร่วงลงมามรณภาพ

17.00 น. เกิดเหตุสลดภายในวัดศรีธรรมาราม หรือวัดลิงค์ หมู่ที่ 5 ต.พนมวังก์ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

ผู้เสียชีวิตคือ พระจำลอง อายุ 66 ปี หรือ พระจำลอง จิระธรรมโม ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลพนมวังก์ โดยได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อจำพรรษาที่วัดแห่งนี้ เกิดพลัดตกจากหน้าผาสูงเกือบ 10 เมตร ขณะปีนขึ้นไปตัดแต่งกิ่งไม้ตามลำพัง เป็นเหตุให้มรณภาพในจุดเกิดเหตุ

เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ตรวจสอบพบว่าไม่มีชีพจรแล้ว จึงทำการโรยตัวเพื่อนำร่างของพระจำลองลงจากหน้าผา ก่อนนำส่งโรงพยาบาลควนขนุนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

>> เปิดปฏิบัติการไล่ล่า ผู้ต้องหาหนีคดีขายยาเสพติด 14 ปี รวบคาสนามบินหาดใหญ่

17.23 น. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.)ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาย ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ลงวันที่ 9 กันยายน 2565 โดยต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” โดยจับกุมได้ บริเวณหน้าประตูทางออกสำหรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ภายในท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้ ถือเป็นการปิดฉากการหลบหนีคดียาเสพติดยาวนานถึง 14 ปี เมื่อตำรวจสอบสวนกลาง ได้ตามรวบตัวผู้ต้องหาตามหมายจับคดีจำหน่ายยาเสพติด ได้ที่สนามบินหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก่อนที่หมายจับจะหมดอายุความเพียง 1 ปีเท่านั้น
คดีนี้ย้อนไปเมื่อปี 2554 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งใน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และพบของกลางยาบ้าจำนวนมาก จึงได้ออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและผู้ครอบครองยาเสพติด แต่ผู้ต้องหาไหวตัวทันและสามารถหลบหนีออกนอกประเทศไปได้ทันที โดยคาดว่าได้ใช้ช่องทางธรรมชาติหมาตลอด

จนกระทั่ง ตำรวจสอบสวนกลาง สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย และมีกำหนดการเดินทางผ่านสนามบินหาดใหญ่ จึงได้ประสานกำลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด โดยจะควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

>> ทหารชุดลาดตะเวน เหยียบกับระเบิด ที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี ขาขาด

18.49 น. พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันเหตุ ทหารชุดลาดตะเวน เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ ชื่อ จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญโคราช เป็นชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 เหตุเกิดในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งระเบิดดังกล่าวเป็นระเบิดที่วางใหม่ ขณะนี้นำตัวส่งรักษาที่ รพ.น้ำยืน

ทั้งนี้ ออกมาตราการตอบโต้ คือสั่งปิด2ปราสาทคือ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อีกทั้งยังปิดด่าน 4 ด่าน คือ ด่านช่องจอม ด่านช่องสายตะกู ด่านช่องอานม้า ด่านช่องสะงำ โดยจะมีผลในวันพรุ่งนี้ (24กค.68)

ล่าสุดมีข้อมูลจากแหล่งข่าว ภายในศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ยอมรับด้วยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้ปรึกษามาที่ ศบ.ทก. เพื่อขออนุญาตปิดด่านในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีษะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวตามแนวชายแดน เพื่อเป็นการประท้วงกัมพูชา ซึ่ง ศบ.ทก. เห็นชอบ ขณะเดียวกันจะส่งหนังสือประท้วงโดยใช้กลไก RBC และรายงาน กระทรวงต่างประเทศ เพื่อทำการประท้วงต่อไป

>> "ภูมิธรรม" สั่งลดระดับความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา หลังทหารเหยียบกับระเบิดซ้ำอีกที่ช่องอานม้า

19.22 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวหลังเกิดเหตุทหารชุดลาดตระเวนเหยียบกับระเบิดขาขาดอีกนายว่า
ขณะนี้ได้รับทราบข่าวจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม โดยทางกองทัพได้รายงานให้ทราบว่าเมื่อเวลา 16.55 น. มีหน่วยลาดตระเวนของเรา คือชุด ลว.พัน.ร.14 ได้เหยียบกับระเบิดในพื้นที่ห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บขาขวาขาด จำนวน 1 นาย คือ จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญโคราช จากนั้นเมื่อเวลา 17.18 น. ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลที่บาดเจ็บออกมา

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบกได้ทำเรื่องขอเสนอให้ปิดด่านชายแดนของกองทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวห้ามเข้าเด็ดขาด โดยขณะนี้รัฐบาลสั่งการให้ปิดด่านชายแดนตามที่กองทัพเสนอ และได้พิจารณาแล้วว่าเราจะลดระดับทางการทูต โดยเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทย และส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยคืนกลับเขาไปเช่นกัน แล้วจะพิจารณาระดับความสัมพันธ์เพิ่มเติม

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ ยื่นหนังสือประท้วงไปแล้ว ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นระเบิดใหม่ พิสูจน์ทราบได้ว่าเมื่อก่อนเดินลาดตระเวนเราไม่เคยมี แต่ตอนนี้เป็นระเบิดที่เกิดใหม่ทั้งหมดในเวลาใกล้เคียงกัน ดังนั้นเรายกระดับการตอบโต้ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

>> แผ่นดินไหว ที่ประเทศเมียนมา

04.31 น. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา แผ่นดินไหว ขนาด 3.1 ลึก 10 กม. ภายในพื้นที่ประเทศเมียนมา ศูนย์กลางห่างออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ประมาณ 313 กม. ยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อประเทศไทย