โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อย่าสิ้นหวัง ข้อคิดจากชายวัย 86 ปีที่ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม

the Opener

เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว • The Opener

สำนักข่าวไชน่านิวส์เอเชีย ของสิงคโปร์ นำเสนอเรื่องราวของอดีตครูและผู้บริหารโรงเรียนวัย 86 ปีที่ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม แต่เขายังคงมีทัศนะที่ดีต่อชีวิต ไม่สิ้นหวัง และค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการอยู่ร่วมกับอาการป่วยบนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม

โธมัส ออง อดีตครูคณิตศาสตร์และผู้บริหารโรงเรียนชาวสิงคโปร์วัย 86 ปี ป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม แต่เขาก็ไม่เคยหมดหวัง เขายังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ร้องเพลง เล่นไพ่นกกระจอก และกำลังเขียนหนังสือถ่ายทอดเรื่องราวจากความทรงจำ โดยหวังว่าการแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของเขา อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่กำลังเผชิญกับภาวะของโรคสมองเสื่อม และช่วยกระตุ้นให้สังคมไม่กีดกันผู้ป่วย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม

โธมัสเริ่มสอนหนังสือหลังเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยสอนวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนที่จะไปเรียนต่อ และมาเป็นผู้บริหารสถาบันราฟเฟิลส์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาเก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1823 จากนั้นก็มาเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนมัธยมคอมมอนเวลท์ และที่โรงเรียนมัธยมเบด็อกนอร์ธ

โธมัสบอกว่า เขาเคยเป็นคนที่มีความจำดีเลิศจากอาชีพสอนหนังสือ โดยเฉพาะเมื่อได้สอนหนังสือเด็กนักเรียนหลายพันคนตลอดหลายสิบปีของการเป็นครู

แต่ความเปลี่ยนแปลงได้ย่างกรายมาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการแจ้งเตือน เมื่อเขาเริ่มหลงลืมว่า เก็บกุญแจรถไว้ที่ไหน หลังจอดรถที่ลานจอด

มีครั้งหนึ่ง ขณะกำลังขับรถเพื่อไปสอนพิเศษให้นักเรียนบนเส้นทางที่เคยขับผ่านประจำนับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาจำทางไม่ได้ และขับรถวนเป็นวงกลมด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจและร้อนรน แม้สุดท้ายจะสามารถขับไปตามทางที่ถูกต้องได้ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

โธมัสตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องไปตรวจสุขภาพ และผลการวินิจฉัยออกมาว่า เขามีอาการของโรคอัลไซเมอร์

การศึกษาโดยสถาบันสุขภาพจิตสิงคโปร์ พบว่า ประชากรสิงคโปร์ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปป่วยโรคสมองเสื่อมอยู่ที่อัตรา 11 ต่อ 1 โดยมีผู้สูงอายุป่วยด้วยโรคสมองเสื่อมราว 74,000 คนในปัจจุบัน และคาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมของสิงคโปร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 152,000 คนในปี 2030 ตามจำนวนของประชากรที่เข้าสู่วัยชราอย่างต่อเนื่อง

ผลการวินิฉัย ทำให้โธมัสรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวัง เขาพยายามปรับความคิดเข้ากับความจริงใหม่ที่ว่า ต้องอยู่ร่วมกับอาการความจำเสื่อม ซึ่งแพทย์บอกว่า โรคนี้จะค่อยๆ ทำให้ความเฉียบคมหายไปอย่างช้าๆ รวมถึงการพูดและพึ่งพาตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตลอดมาของคุณตากำลังจะถูกพรากไป

โธมัสบอกว่า แม้จะพยายามใช้ชีวิตที่มองในด้านบวก แต่ก็ไม่ง่าย หลายครั้งมีความยากลำบากในการนึกชื่อคนและชื่อสถานที่ต่างๆ รวมทั้งรู้สึกสับสนกับปุ่มกดต่างๆ บนรีโมทคอนโทรล

นอกจากนี้ เขายังกลัวการถูกปฏิเสธ และกังวลว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจ หรืออาจรู้สึกหงุดหงิดกับการที่ต้องทวนคำพูดซ้ำ

เพื่อนหลายคนและญาติพี่น้องเริ่มห่างหายไปจากโธมัสแบบเงียบๆ เพราะโธมัสเริ่มจำพวกเขาไม่ได้ รวมถึงความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกันก็เริ่มเลือนไป

โธมัสบอกว่า เขาเรียนรู้ที่จะท้าทายกับผลกระทบด้านลบเหล่านี้ ด้วยการอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ที่เกื้อกูล ซึ่งเป็นคนที่จะคอยเฉลิมฉลองกับชัยชนะของคุณตา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กๆ หรือใหญ่

หลังผลการวินิจฉัยออกมาไม่นาน โธมัสถูกส่งไปที่ Dementia Singapore ซึ่งเป็นหน่วยงานบริการด้านสังคมที่เชี่ยวชาญเรื่องผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม และเป็นที่ที่เข้าใจสภาพของเขา ที่นี่มีกิจกรรมต่างๆ เช่น คาเฟ่ความทรงจำ ที่ช่วยทำให้เขาระลึกได้ว่า ชีวิตไม่ควรหยุดเพียงเพราะอาการป่วย

โธมัสได้เรียนรู้วิธีการช่วยจัดการกับอาการป่วยที่คืบไปเรื่อยๆ เขาทำตามรายการประจำวันที่วางโครงสร้างไว้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคงและคุ้นเคย ทั่วบ้านจะมีกระดานไวท์บอร์ดเขียนข้อความสำหรับเตือนความจำการนัดหมายหรือสิ่งที่ต้องทำ เพื่อช่วยให้สามารถจัดการเรื่องต่างๆ เองได้

โธมัสบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ การกระตือรือล้นที่จะแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ โดยเขามาเป็นผู้ร่วมดำเนินการสนทนาหรือดำเนินกิจกรรมกลุ่มในโครงการVoices for Hope ซึ่งมีเป้าหมายในการสนับสนุนการใช้ชีวิตร่วมกับอาการสมองเสื่อม และมีคู่ที่คอยดูแลตลอดเส้นทางของความเจ็บป่วย

เขาบอกว่า สิ่งที่ต้องการให้ผู้คนเข้าใจ คือ คนที่มีอาการสมองเสื่อมระยะต้นยังคงกระฉับกระเฉง และใช้ชีวิตได้เต็มที่เป็นปรกติ เพียงแต่ต้องการความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ที่มีให้ผู้ป่วยเพียงเท่านั้น และบอกว่า คนที่ป่วยอย่าสิ้นหวัง ให้ใช้ชีวิตให้ดี ทำกิจกรรมที่รัก และค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการกับอาการของตัวเอง เขาบอกว่า ชีวิตไม่ได้จบลงเพราะได้รับการวินิจฉัยว่าป่วย แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาแค่ว่า จะต้องเลือกเส้นทางชีวิตเส้นอื่นที่ต่างไปจากเดิม

สำหรับผู้ที่ดูแลผู้ป่วย (care partner) เขาอยากให้คุณอดทน เปิดใจยอมรับ ที่สำคัญที่สุด คือ การให้ความเคารพต่อผู้ป่วย ให้โอกาสพวกเขาได้พยายามหาวิธีของตัวเองในการฟื้นฟูความสามารถด้านความจำและสมอง สนับสนุนให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ปกป้องมากเกินไป

โธมัสบอกว่า การดูแลกันแบบนี้คือ “การเป็นคู่คิดร่วมทาง” ไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางเดียว เขาจึงชอบใช้คำว่า “คู่ดูแล (care partner)” มากกว่า “ผู้ดูแล (caregiver)” เพราะมันให้ความรู้สึกอบอุ่น และแสดงถึงความเข้าใจของการเดินไปด้วยกัน

โธมัส เขียนบทกวีชื่อว่า “อย่าลืมฉัน” ไว้เมื่อปี 2021 ซึ่งบอกถึงประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกับโรคสมองเสื่อม และถูกตีพิมพ์โดย Dementia Singapore ในปี 2023 และย้ำว่า ถ้ามีสิ่งใดที่ควรจดจำไว้เสมอ ก็คือ“คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

ที่มา
Commentary: I am 86 and have dementia, but I still have much to give

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก the Opener

พร้อมลงทุน Peach Economy Canvas Ventures หวังดันสตาร์ทอัพไทยโตระดับโลก

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รู้จักการเดินแบบญี่ปุ่น เดินแบบนอร์ดิก ที่จะทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วยการ เดิน

15 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ISANCF2025 : 13 โปรแกรมไฮไลต์สุดม่วนใน 3 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์

กรุงเทพธุรกิจ

ฤดูร้อนแบบนี้ คนญี่ปุ่นนิยมออกไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง?

conomi

ภาษากรุงเทพฯ เหมาะสำหรับใช้กับใคร?

ศิลปวัฒนธรรม

แนวทางในการพิจารณา จุดสังเกตุและตำหนิ พระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ธนบุรี

สยามรัฐ

"คดีแพะรับบาป" เหตุทูตฝรั่งเศสสบประมาท-ดูหมิ่นสยามต่อหน้าพระพักตร์ ร.4 !

ศิลปวัฒนธรรม

28 มิ.ย. 1914: "ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์" แห่งออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์ จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 1

ศิลปวัฒนธรรม

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันเสาร์ที่ 28 มิ ย.68

PostToday

“อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” อนุสาวรีย์แด่วีรชนผู้กล้าที่รักษาอธิปไตยของแผ่นดินไทย

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...