“อ.ธนพร” ฟาด พท.เหลือแต่ลิ่วล้อ-ไร้นักสู้ ชี้ โมเดล “น้ำเงิน-ส้ม” มีลุ้นสูง ลั่น เพื่อไทยอาจกำลังปูทางสู่รัฐประหาร เล่นบทดาวพระศุกร์
“อ.ธนพร” ฟาด พท.เหลือแต่ลิ่วล้อ-ไร้นักสู้ ชี้ โมเดล “น้ำเงิน-ส้ม” มีลุ้นสูง ดันเสถียรภาพการเมืองแทน “แพทองธาร” ที่กลายเป็นนายกฯ แห่งความเกลียดชัง พร้อมตั้งคำถาม เพื่อไทยอาจกำลังปูทางสู่รัฐประหาร เล่นบทดาวพระศุกร์
เวลา 12.00 น. วันที่ 5 ก.ค 68 รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวThe Room44 ถึงกรณีที่พรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อโหวตให้ภูมิใจไทยเป็น นายกฯ ชั่วคราว ว่า ในวันนี้ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการผิดจริยธรรมตามคำร้องจริง ก็ต้องมีการโหวตนายกฯคนใหม่อยู่แล้ว และการโหวตนายกฯคนใหม่แน่นอนว่าทั้งสองขั้วไม่ว่าจะเป็นขั้วสีแดงซึ่งวันนี้ก็เปิดตัว นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและอดีตอัยการสูงสุด ขณะเดียวกันในเรื่องของขั้วน้ำเงินกับส้ม เหมือนที่ตนเคยบอกไปในตอนแรกว่าขั้วน้ำเงินส้มเป็นโมเดลที่สังคมให้การตอบรับเพราะมีความชัดเจนในเรื่องของภารกิจต่างๆ ลักษณะเดียวกับ รัฐบาลที่มีภารกิจพิเศษหลังเหตุการณ์ของนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ตนคิดว่าโมเดลที่น้ำเงินส้มจับขั้วกันมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้
โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของเสียงสนับสนุนเพราะจะเกิดสองเหตุการณ์ด้วยกัน เหตุการณ์แรกคือ อยากเตือนให้นายใหญ่ระวังให้ดี สส.ในพรรคเพื่อไทย จะโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างน้อยที่สุดประมาณ 30 คน และเหตุการณ์ที่สองคือ พรรคร่วมรัฐบาล พรรคสีส้มไม่เอาตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีแต่ร่วมรัฐบาล เท่ากับว่าเก้าอี้ของรัฐมนตรีต่างๆ มีแจกให้กับพรรคร่วมรัฐบาลเหลือเฟือ เพราะ สส.พรรคส้ม มี 140 กว่าคน และเก้าอี้คณะรัฐมนตรี(ครม.)มี35 เก้าอี้ ซึ่งถ้าหากคิดตามสัดส่วนแล้ว สส.พรรคสีส้ม จะได้เก้าอี้ ครม. ประมาณ18 ตำแหน่งเป็นอย่างต่ำ
อาจารย์ธนพร กล่าวต่อว่า แต่เมื่อพรรคสีส้มไม่รับเก้าอี้จะแปลว่าเหลือ 18 เก้าอี้ ถ้าพรรคไหนอยากมาร่วมรัฐบาลนี้ก็จะสามารถจิ้มเอากระทรวงได้เลย
“ ตอนที่อยู่กับนายใหญ่ตอนนี้ก็โดนนายใหญ่เอาเปรียบทั้งหมด และพอเป็นการโยนเก้าอี้ให้ก็เหมือนกับเป็นการโยนเศษเนื้อข้างเขียง ซึ่งถ้าเราดูจากการแบ่งงานจะเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะ กระทรวงสาธารณสุขที่ชัดเจนที่สุด เพราะมีการแบ่งงานรัฐมนตรีช่วยจะมีการเอากรมเล็กที่สุดให้ และแบ่งให้รัฐมนตรีช่วยสองคนดูแลคนละกอง แบบนี้เรียกว่ายิ่งกว่าเศษเนื้อข้างเขียง“อาจารย์ธนพร ย้ำ
อาจารย์ธนพร กล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้นพรรคร่วมระหว่างที่อยู่กับนายใหญ่จะได้เศษเนื้อข้างเขียง แต่ถ้าหากมาอยู่กับฝั่งเดียวกับพรรคน้ำเงิน ส้ม จะได้กระทรวงใหญ่ดีกว่าเห็นๆ เพราะฉะนั้นแล้วโมเดลน้ำเงินส้มมีโอกาสเกิดขึ้นได้แน่นอน หลังคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการของศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าถ้าพรรคประชาชนมีการโหวตให้พรรคภูมิใจไทยเป็นนายกชั่วคราวเกิดขึ้นจะเหมือนกับเป็นการหักหลังประชาชนหรือไม่ เพราะเคยมีการบอกไว้ว่าจะไม่มีการจับมือกับพรรคภูมิใจไทย อาจารย์ธนพร ระบุว่า ไม่หักหลังแน่นอน เพราะพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนเห็นพ้องกันในหลักการคือเป็นรัฐบาลที่เข้ามาดำเนินการในโจทย์ที่เป็นปัญหาและเป็นสิ่งที่เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นสิ่งที่ควรขับเคลื่อนคือในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้ก็ไม่ใช่โจทย์อะไรที่ยากอีกแล้วเพราะว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะมีคำวินิจฉัยว่าทำประชามติกี่ครั้งกันแน่ในเร็วเร็วนี้ พระราชบัญญัติออกเสียงประชามติที่ค้างอยู่ในกรรมมาธิการร่วม สส.และ สว.180วัน ซึ่งตอนนี้ก็พ้น 180 วันแล้วสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถหยิบขึ้นมายืนยันได้ทุกวันเมื่อยืนยันแล้วก็เข้าสู่การประกาศใช้ นั่นแปลว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การมี สสร.เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เวลา และไม่น่าเกิน 6 เดือน
ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ นาย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่าพรรคที่จะผลักดันประเด็นนี้ได้ไม่พ้นพรรคสีน้ำเงิน เพราะมองว่าพรรคสีน้ำเงินมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ สว.
“ส่วนพรรคสีแดงต้องบอกว่า นายใหญ่หมดไพ่เล่นแล้ว วันนี้ผมบอกกับนายใหญ่เลยว่าการเอาลิ่วล้อ ขี้ข้าออกมาพูดนู่นพูดนี่ยิ่งทำให้แย่ไปกว่าเดิม เพราะไอเดียแต่ละอย่างที่ออกมาพูดเป็นไอเดียการเมืองเก่าทั้งนั้น เอาง่ายๆเลยคือ ไปคิดได้อย่างไรว่ารัฐบาลภารกิจพิเศษน้ำเงินส้มจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และขอให้ไปอ่านให้ดีว่าพรรคสีส้มจะร่วมรัฐบาลแต่ไม่รับตำแหน่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอยู่แล้ว“ อาจารย์ธนพร กล่าว
อาจารย์ธนพร ระบุต่อว่า วิธีการให้ความเห็นแบบนี้เป็นวิธีของนักการเมืองที่ดักดานอยู่กับความคิดว่าจะร่วมรัฐบาลต้องหวังแต่ตำแหน่งรัฐมนตรี โดยมองว่าเป็นการเมืองยุคเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า ในพรรคเพื่อไทยมีแต่นักเลีย นายใหญ่เลยขาดนักสู้ จึงทำให้นายใหญ่พ่ายแพ้กับสมรภูมิแบบนี้มาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นโจทย์สำคัญของเพื่อไทย ไม่ได้มีอะไรที่จะมากไปกว่า รักษา สส. ที่มีอยู่ อย่าให้มาโหวตให้กับด้านนายอนุทินแล้วกัน
ถามย้ำว่าถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้เป็นนายกฯ คิดว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคตอาจารย์ธนพร กล่าวว่า จะมีเสถียรภาพมากกว่านางสาวแพทองธารแน่ “ นายกฯนายน้อยตอนนี้เป็นนายก แห่งความเกลียดชัง เพราะจากที่ตนดูข้อมูลละเอียดแล้วจะเห็นว่าข้าราชการจะเป็นอาชีพที่รังเกียจนายกฯนายน้อยมากที่สุด หรือถ้าหากยึดในแต่ละภาค จะเห็นว่าฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทยไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือหรือภาคอีสานก็แพ้ด้านนายณัฐพงษ์หลุดลุ่ย”
อาจารย์ธนพร กล่าวต่อว่า เพราะฉะนั้นในกรณีคลิปเสียงหลุดที่มีการพูดคุยระหว่าง นางสาวแพทองธาร กับสมเด็จ ฮุน เซน กลายเป็นนายกฯแห่งความเกลียดชังของสังคมไปแล้ว ดังนั้นโมเดลน้ำเงินส้มเกิดขึ้นเมื่อไหร่ การเมืองมีเสถียรภาพแน่นอน เพราะประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้จะมีระยะเวลาจำกัด เมื่อภารกิจใกล้เสร็จสิ้นก็จะนำไปสู่การเลือกตั้ง และเข้าสู่การแข่งขันตามกติกาว่าใครได้คะแนนเป็นที่หนึ่งก็จัดตั้งรัฐบาล และกลไกประชาธิปไตยก็จะเดินหน้าได้
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ธนพร ตั้งข้อสังเกตว่าวันนี้พรรคเพื่อไทยเหลือวิธีการเดียวที่จะสามารถกลับมาชนะได้คือวิธีการทำให้เกิดการรัฐประหาร และเล่นบทดาวพระศุกร์ผู้น่าสงสาร หรือผู้ถูกกระทำ ซึ่งวันนี้เราก็ได้เห็นมติครม. ที่มอบอำนาจให้ นายภูมิธรรมเวชชชัยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นนายกฯแทนนางสาวแพทองธาร ในช่วงที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในมติครม. เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา มีข้อที่น่าสังเกตและน่าสนใจคือ ต้นเรื่องจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเขียนเข้าไปในครมบอกว่าให้รักษาการนายกมีอำนาจเต็มตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วยซึ่งหมายถึงอำนาจยุบสภา แต่พอมีการนำเข้าครม.ไปก็ถูกเลขาธิการกฤษฎีกาคัดค้านและความเห็นของเลขากฤษฎีกาก็ไม่ได้ถูกบันทึกในรายงานการประชุม
ทั้งนี้ อาจารย์ธนพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาคือการวินิจฉัยว่านายกฯจะมีอำนาจยุบสภาหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่น่าสนใจคือทำไมรัฐบาลโดยการนำของพรรคเพื่อไทยถึงกล้าที่จะวินิจฉัยอำนาจตัวเองแบบนี้ ซึ่งการที่กล้าจะวินิจฉัยอำนาจแบบนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นการสร้างเงื่อนไขให้ไปสู่การรัฐประหารเพราะเมื่อถึงเหตุการณ์ยุบสภาจริงๆกลุ่มผู้ชุมนุม ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลมีอำนาจในการยุบสภา และแน่นอนว่าจะมีการชุมนุมจะและการยกระดับการชุมนุมเกิดขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งจะต้องล่าช้าออกไปเพราะการชุมนุมมันก็จะเข้าเงื่อนไขการรัฐประหารทันที พอมีการรัฐประหาร คนที่จะเล่นบทดาวพระศุกร์ก็คือรัฐบาล เพราะฉะนั้นจึงอยากตั้งข้อสังเกตไว้ว่าการที่มติครม. เรื่องผู้รักษาการแทนนายกไม่ได้สื่อสารออกมาให้สังคมรับรู้อย่างครบถ้วน รัฐบาลโดยการนำของพรรคเพื่อไทยต้องการอะไร หรือต้องการจะเปิดประตูให้รถถังเข้ามาและตัวเองก็จะได้ประโยชน์จากการเล่นบทดาวพระศุกร์